.โลกในอุดมคติ
ฉันอยากอยู่ในโลกที่ไม่มีใครขาดน้ำ
น้ำที่ปราศจากกลิ่นแปลกปลอมแม้แต่กลิ่นคลอรีน
ดินร่วนสีดำที่ไม่มีสารเคมี
ไม่มีสารพิษจากยาฆ่าแมลง
ต้นไม้เขียว ดอกไม้บานตามธรรมชาติ
สายลมบริสุทธิ์เย็นสดชื่นที่มีกลิ่นสนในบางฤดู
ไฟที่มีไว้เพื่อหุงต้มและให้ความอบอุ่น
ไม่ใช่เพื่อใช้เผา ไม่ว่าเผาอะไรก็ตาม
โลกที่ค้นพบวิธีกำจัดขยะอย่างแยบยล
โลกที่ปราศจากแสงนีออน
แสงป้ายโฆษณาจากตะวันตกลุกลามสู่ดินแดนพรหมจรรย์
แม้นักเดินทางยังไปไม่ถึง
โลกที่มีแสงอุ่นจากหลอดไฟ จากเทียน จากตะเกียง
โลกที่ไม่มีการตอกเสาเข็มเสียบอกแผ่นดิน
และท้องฟ้าไม่ถูกบดบังด้วยตึกสูงเสียดฟ้า .
โลกที่ความงามไม่ใช่สิ่งแปลก
และความละเอียดอ่อนโยนเป็นเรื่องปกติ
โลกที่ผู้คนสามารถแยกความสวยออกจากความงาม
ฉันอยากอยู่ในโลกที่เท่าเทียม
โลกที่มนุษย์ไม่ถูกแบ่งประเภท
ไม่ว่าด้วยสีผิว รายได้ ชาติกำเนิด
ความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนา
ความแตกต่างทางการปกครอง
โลกที่มนุษย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่บนความแตกต่าง
ความแตกต่างที่ทำให้เราพ้นจากการเป็นมนุษย์หุ่นยนต์
หัวใจของความเป็นคน
ใช่ ฉันอยากอยู่ในโลกที่คนไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
ความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
ทำให้สงครามเป็นเพียงคำหนึ่งในพจนานุกรม
เรื่องราวการสู้รบแต่หนหลังเป็นเพียงบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์
และสมรภูมิเคยโชกเลือดเป็นสถานที่ที่ผู้มาเยือนหลั่งน้ำตาแห่งความอาดูร
มนุษย์ไม่ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับการอยู่รอด ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อปัจจัยสี่
หามาและแบ่งปัน
มนุษย์เพียงแสวงหาคำตอบป้อนจิตวิญญาณขั้นสูง
ความรักมีไว้เพื่อการหายใจเข้าออกของจิตวิญญาณ
ขณะอวัยวะที่ใช้ในการหายใจทำหน้าที่ของมันไป
ในโลกนั้น
เราส่องกระจกจากแววตาคนที่เรารักและรักเรา
เราส่องกระจกผ่านแววตาเพื่อนร่วมโลกทุกคนที่เข้ามาในชีวิต~
.
.
อักษร ภาษา และเวลาของฉัน
คอลัมน์เขียนร่วม
พี.เจ. แอนเดอร์สัน
*หมายเหตุ ชอบชื่อที่ตั้งให้มากมาย.
บี อิง ลิง
ตอบลบลิง ดำรงอยู่
ลิงเอ็ป
ลิง ลิญ
...
ตอบลบเค้าเป็น บี อิง ลิน ..
คนข้างบนเป็น บี อิน ลิง (be in ling)
ดำรงอยู่ในลิง พี.เจ.คนนี้เลย
ฮ่า ๆ ๆ ก้ากกกก เอิ๊ก
P.J. be in ling.
..
หืม? จะประกาศสงครามเหรอ...
ตอบลบเล่นกับใคร ไม่รู้เรื่องนะ
เกรียนระดับผม เล่นด้วยเรื่องไม่จบง่ายๆนะ
หลายปีก่อนมีคนต่างชาติมาเล่นกับผม
ผมเกรียนกลับ ซะจนประเทศเค้าแทบล่มเลยนะ
เกรียนกลับไปแพร่เชื้อเกรียนที่บ้านเกิดซะ
ระวังๆ จุ๊ๆๆๆๆ
เคี๊ยกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
บีอิงลิญ บีอิงแลนด์
คนแมนๆ เข้ามาหา
บีอิงลิญ เมื่อเห็นหน้า
แมนอย่างข้า ลิญดีใจ
บีอิงลิญ บีอิงเลิร์น
แม้เกินๆ ยังพอไหว
ลิญชอเกรียน เวียนหัวใจ
เกรียนเมื่อไร หลับเป็นตาย
Lyn: เอิ้ก ก้าก ... เมื่อก่อนใช้บ้านเราเป็นสมรภูมิรบกับจันทร์
ตอบลบจันทร์ไม่อยู่ รบกับเจ้าของบ้านซะเลย ประกาศสงคราม ... เอิ้ก
Lynland ก็บอกอยู่แล้วว่าถิ่นใคร !
P.J.: เตรียมกายให้พร้อม เตรียมใจให้แกร่ง สู้ในสงครามเกรียน
Lyn: แล้วไม่ต้องถามนะคะ ใครอุ้มตือ ตายแล้ว ถามไม่ได้หรอก
ตือตายกลายเป็นตือหยอง กินกะข้าวต้ม ฮิๆ
ตือแผ่น ตือหยอง อบกรอบ อาหย่อยยยยย
P.J.: อะไรครับ เกรียนลิญ ก้านตอง ก้านตือ จัสหมู
Lyn: ก้านตองก้องโลก
ตือโศกเพราะหือ
เกรียนตองไม่ถือ
แต่ตือต้องตาย
P.J.: เกรียนพ่อหัวร่อ
ตองหนอไม่ไหว
สู้เกรียนได้ไง
ตายไม่รู้ตัว
Lyn: ก้านตองไม่หมู
คอยดูเคล็ดลับ
ตือเป้ต้องดับ
สำหรับมือเย็น
P.J.: ก้านตองบทบาท
ลีลาเวียดหัว (ไม่มีสัมผัส แล้วยังสะกดผิดอีกแน่ะ)
แพ้ภัยของตัว
เผลอกลัวเกรียนไทย
ก้านตองต้องดับ
ขยับไม่ไหว
ตีเข่าเข้าไป
เกรียนไทยมีดี (มีดีตรงใช้กำลังนี่เอง)
(บทนี้ต้องแบนค่ะ เหอะ)
เกรียนพี่ตีเข้า
ตีเข้าที่ท้อง (ท้องตัวเองค่ะ)
ทำได้แค่ร้อง (เกรียนเป้นะคะที่ร้อง)
แล้วลิญขาดใจ (เห็นๆว่าเป็นไง เธอมึน)
เกรียนพี่ประกาศ
ลิญขยาดเกรียนแท้ (ไม่ขยาดได้ไง)
ลิญนั้นพ่ายแพ้ (บอกตัวเองเพราะกลัว)
ร้องอุแว้ หวาดกลัว (ดูเอาเอง)
Lyn: ปล่อยตือได้ใจ
แล้วใช้เคล็ดลับ
ขอซื้อหมูสับ
ตือดับคาเขียง
P.J.: หมูนั้นแกล้งตาย
แล้วไปที่เตียง (อยู่บนเขียงในตลาดนี่นะ)
จับลิญโยนเหวี่ยง
ลิญเอียงแล้วตาย (สุดภาพบุรุษ ฮึ)
เกรียนพ่อหัวร่อ
ตองหนอไม่ไหว
สู้เกรียนได้ไง
ตายไม่รู้ตัว
Lyn: อู้ดอู้ดตือร้อง
เสียงก้องโดนสับ
พ่อค้าไม่นับ
ตือดับคาเขียง
P.J.: เกรียนนั้นมีมือ
ถือปืนมีเสียง (ใช้อาวุธหนักซะแล้ว)
นัดเดียวลิญเอียง
เดินเหวี่ยงแล้วตาย (คิดเอาเอง)
Lyn: ลิญเรียกเฟมมินิสท์
ปล่อยพิษใส่เกรียน
ชายนี้พากเพียร
เกรียนรังแกหญิง
P.J.: อยู่ในสงคราม
ใคหยามชายหญิง? (เลินเล่อ เฮ้อ รีบร้อนจะเอาให้ตาย)
เท่ากันนั้นจริง
เป็นสิ่งไม่ตาย
แรกร้องท้าตี
ตอนนี้หนีหาย
เรียกสิทธิหญิงชาย
อาลัยลิญเอย
Lyn:ใช้แรงเข้าสู้
ทำผู้อ่อนแอ
เกรียนชายอายแย่
จนแก่ยังอาย
P.J.: ตอนแรกทำเก่ง
ทำเบ่งวายร้าย
ตอนนี้ด่าชาย
ไม่อายตัวเอง
ร้องว่าชายหญิง
คนหยิ่งสิหนา
หยิ่งทั้งหน้าตา..
นี่ละหนาสาวเกรียน
Lyn: เสียงดังยังเก่ง
ทำเบ่งข่มเหง
เกรียนทำนักเลง
ร้องเพลงชาติเกรียน
P.J.: เพลงเกรียนไพเราะ
ใครเยาะปวดเศียร
ลาก่อนลิญเกรียน
อย่าเพียรรบเลย
Lyn: เกรียนนอนตาค้าง
ปากกว้างหน้าเงย
ลิญนอนหลับเสบย
ไม่เคยใส่ใจ
ราตรีสวัสดิ์พี่เกรียนค่ะ ฝันดีนะคะ
P.J.: ทำเป็นนิ่งเฉย
ลิญเอยจำไว้
เฉยได้เฉยไป
ในใจรู้ดี
รบแล้วแพ้พ่าย
ร้องไห้หรือนี่?
โอ๋ ลิญคนดี
ราตรีสวัสดิ์เอย
Lyn: สบายใจสบายซะ
รบชนะสวัสดี
เก่งจริงเกรียนหนี
ฝันดีนะเกรียน
เฮ้อ ... สบายใจจัง ^^
...
ลิงเอ๊ย
ตอบลบลินเอ้ย พูดกับลิญจน์... บี อิง ลิน (เป็นลิน)
ตอบลบลิงเอ้ย พูดกับตัวเอง ... บี อิน ลิง (ดำรงอยู่ในลิง)
:D
...
หมู่นี้มาดูบ้านบ่อย ให้สมกับที่จะไม่มาดูนานเลย ยังไม่ทันไปก็คิดถึงแล้ว ห่วงหลัง ไม่อยากเดินทาง ห่วงเชอรี่ สิ่งมีชีวิตที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กลัวจะชัก ได้แต่หวังว่าคนที่ไว้ใจ จะดูแลสามเรื่องอย่างดีเหมือนตัวเราทำเอง หันมองเชอรีที่จ้องเราเป๋ง นึกถึงลูกหมาตัวเล็ก ๆ ที่เคยนอนในอุ้งมือ เล็กได้แค่นั้น วันแรกที่เราค่อย ๆ ทำความรู้จักกัน
ตอบลบการทำความรู้จักเป็นเรื่องสำคัญที่น่าสนใจ เพราะความแตกต่าง เราแตกต่างอยู่ในความเหมือนซึ่งเป็นปรารถนาขั้นพื้นฐาน ในความสัมพันธ์ เสน่ห์อยู่ตรงนี้ ค่อย ๆ เรียนรู้ ไม่มีหรอกสูตรสำเร็จ ถ้ามี ถึงมี แล้วจัดการตามทฤษฎีที่ได้มา ก็คลับคล้ายเสแสร้ง แม้อาจก่อเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แน่นอน เป็นขั้นตอนต่อความสัมพันธ์ ตัวบุคคล ทั้งคนปฏิบัติและคนที่ถูกปฏิบัติต่อ
ลองใช้จินตนการที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ นึกดูว่า ถ้าทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับเราต่างรู้สูตรสำเร็จว่าเราเป็นคนอย่างไร ควรปฎิบัติต่อเราอย่างไร และทุกคนทำตามนั้นกันทุกคน เราจะรู้สึกอย่างไร ?
คนเราอาจซื่อตรงหรือไม่ซื่อตรงต่อบางสิ่งบางอย่าง แต่เราควรซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง คนอื่น ๆ ในโลกของเราจะได้สิทธิ์นั้นทันที สิทธิ์ในการรับรู้ความรู้สึกของเรา แม้เราควรควบคุมการแสดงออกให้เหมาะสม ความซื่อตรงของเราเป็นของเรา ถูกผิดขึ้นอยู่กับใครตั้งตัวเป็นผู้พิพากษา แต่ละคนแต่ละมาตรฐาน เขาเหล่านั้นอาจกระทำผิดหรือไม่กระทำผิดต่อเรา เราไม่อาจควบคุม
ที่เราควบคุมได้คือไม่กระทำผิดต่อตนเอง
ความสัมพันธ์น่าจะดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ช้าเร็วขึ้นอยู่กับท่วงทำนองและจังหวะของช่วงเวลา ถูกบ้างผิดบ้างคือประสบการณ์ของความสัมพันธ์ ... ซึ่งไม่มีและไม่ควรมีสูตรสำเร็จ
ทฤษฎี มีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหายใจ คนสิที่หายใจชีวิตอยู่ทุกวินาที
People first.
อยากจะคุย 2
ตอบลบSpace & Time
สวัสดียามเช้า สวัสดีผู้เข้ามาเยี่ยมอ่าน เยี่ยมเยียนและร่วมเขียนตัวหนังสือทุกคนนะคะ วันนี้แดดสว่างสดใสสมกับเป็นวันหยุด มองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ออกไป เห็นอณูแดดบนสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า บนสีสรรพ์ดอกไม้ที่ผลิบานประปราย ดอกไม้จะออกดอกพรั่งพรูในหน้าแล้ง หน้าฝนน้ำมากเกินไป ดอกไม้เลยไม่ค่อยให้ดอก
คำว่าน้ำมากเกินไป เตือนใจเสมอ อย่าให้ต้นไม้สำลักน้ำ แม่เคยพูดบ่อย ๆ ว่า ระวัง ต้นไม้มักตายหน้าฝน คนได้ยินมุ่งไปที่น้ำมากเพียงอย่างเดียว ลืมอีกหนึ่งความจริงไป เพราะฝนตก เราจึงหยุดให้น้ำ แต่บ่อยครั้งฝนก็หยุดตกหลายวัน ต้นไม้ที่อยู่ในกระถางขาดน้ำ ป่วยเจ็บ และอาจตายได้
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ บอกเราว่าความพอดี ไม่ขาดไม่เกิน เป็นเรื่องจำเป็นแม้กับการเลี้ยงดูต้นไม้สักต้น
นอกจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว ต้นไม้ยังต้องการพื้นที่และเวลา Space & Time เช่นเดียวกับคน
เราปรารถนา เราจึงรู้จักให้พื้นที่และเวลาแก่คนอื่น
กว้าง สบาย โปร่ง โล่ง ไม่คับแคบ อึดอัด และบีบรัด
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถให้ผู้คนในชีวิตและตนเองคือความเป็นอิสระทางจิตวิญญาณในพื้นที่ส่วนตัวของเขาและเราในเวลาส่วนตัวที่ต้องการ
เวลาเป็นของเราเท่ากับเป็นของคนอื่น
พื้นที่ตรงนี้มีไว้เพื่อทำสิ่งที่รักจะทำคือการเขียน การเขียนใช้เวลา ตรงนี้จึงเป็น Space & Time ของเรา “อักษร ภาษา และเวลาของฉัน” ใช่ ทั้งหมดวางอยู่บนพื้นที่นี้ด้วยความรัก เพื่อผู้ชื่นชอบการอ่าน
ยินดีต้อนรับคนอ่านที่รักในตัวอักษร และเพื่อนมิตรทุกคนค่ะ
ขอบคุณที่มาเยือน
จัสมิน
หมึกดอกไม้บนลายอักษร
^^
~
อยากจะคุย 3
ตอบลบ"ความสำเร็จได้มาจากการทำงานอย่างมืออาชีพ อย่านำสิ่งรกรุงรังเข้ามาบดบังความเป็นมืออาชีพของเรา"
บทสนทนาทางโทรศัพท์กับเพื่อนรักของแม่ ตั้งแต่แม่จากไปเราคุยกันบ่อยและคุยกันนาน ประโยคข้างบนทำให้ฉันขอพบเพื่อสนทนาในเชิงลึกระหว่างมื้อน้ำชา
“จะเป็นมืออาชีพต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก ต้องมีวินัย ต้องรับผิดชอบ ต้องรักษาคำพูด
ศิลปะคือการทำงานอย่างตั้งใจ อย่างทุ่มเทหรือไม่ใช่
ศิลปินคือคำที่เราใช้เรียกตนเองหรือคนอื่นเรียก ?
คนทำงานแท้ ๆ ไม่ใส่ใจว่าจะถูกเรียก;jาศิลปินหรือไม่
เขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาทำอะไร”
ฉันถามท่านว่า คิดอย่างไรกับงานประกวด
“รางวัลคือขั้นบันไดขั้นหนึ่ง เป็นโอกาส ทางลัดที่ในที่สุดเราก็ต้องโผล่ออกมาที่เส้นทางปกติอยู่ดี
รางวัลช่วยย่นระยะเวลา แต่ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดเลย
คนที่ได้รางวัลต้องทำงานหนักต่อไปเพื่อความเป็นมืออาชีพ
ไม่งั้น รางวัลก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษใส่กรอบไว้ให้ฝุ่นเกาะบนหลังตู้
ไว้ให้ได้คุยฟุ้งถึงอดีตที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ส่งผลกับปัจจุบัน
เราส่องกระจกวันนี้ แล้วถามตัวเองว่า..
รางวัลเพียงอย่างเดียวนำเราสู่ความเป็นมืออาชีพได้ไหม”
แม่ว่า ถ้าราได้ทำสิ่งที่เรารักเป็นดีที่สุดแล้ว เพราะเราต้องอยู่กับมันไปนานแสนนาน
ท่านพยักหน้า “มันเหมือนเราข้ามขั้นตอนของคำพูดที่ว่า ทำสิ่งที่เรารัก รักสิ่งที่เราทำ
ไม่ใช่ไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยในแบบที่เราเลือกแล้ว เราเลือกเอง
สิ่งที่ควรค่า คุ้มค่ากับการทุ่มเท”
ทำไมบ่อยครั้งคนเก่งของเรา ไม่ใช่คนเก่งของคนทั่ว ๆ ไป
คราวนี้ท่านพูดเป็นภาษาอังกฤษ พูดยิ้ม ๆ
“There’s a specific passion between a unique person and a unique work."
ฉันยิ้มจนตาหยี ^^
"พอเราเห็น เดี๋ยวเขาก็จะส่องประกายด้วยตนเอง
เพราะเขาเก่งของเขาอยู่เดิมอยู่แล้ว
เพียงมีคนเห็น แม้เพียงคนเดียว ก็มีกำลัง”
คำถามและคำตอบของฉันได้รับการยืนยัน
ขอบคุณที่มาเยือนนะคะ
จัสมิน
หมึกดอกไม้บนลายอักษร
^^
~
ทำไมเราจึงฝัน ... Why We Dream (1)
ตอบลบความฝันในทัศนะของคาร์ล กุสตาฟ จุง (Karl Gustav Jung : ค.ศ.1875 -1967)
Jung เป็นทั้งนักจิตวิทยา และแพทย์ชาวสวิสที่ได้รับอิทธิพลจากฟรอยด์ Jung เห็นว่า
ความฝัน เป็นเรื่องที่เปิดเผยของกิจกรรมทางจิตใจ หรือเป็นความในใจของมนุษย์ ค่อนข้างจะมีลักษณะที่เฉพาะ เข้าใจยาก มักแสดงออกมาเป็นภาพและสัญลักษณ์ จึงต้องมีการแปลความหมายของสัญลักษณ์และตีความ ความหมายที่แฝงมาในความฝันนั้น
Jung แบ่งความฝันออกเป็น ๒ ชนิดคือ
๑. ความฝันของบุคคล (Personal Dreams) มาจากจิตไร้สำนึก หรือส่วนลึกของผู้ฝันเป็นสำคัญ เนื้อเรื่องมักโยงกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของผู้ฝันเสมอ
๒. ความฝันของส่วนรวม (Collective Dreams) มาจากจิตไร้สำนึกรวมของผู้ฝันที่สั่งสมเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต ่บรรพบุรุษ
หรือบรรพกาล การจะรู้ความหมายต้องอาศัยการสืบสวนและวิเคราะห์ภูมิหลัง เพราะมีสาระเชื่อมโยงกับผู้อื่นด้วย
Jung เชื่อว่า ความฝันเป็นการชดเชยทางจิตใจของผู้ฝัน
ภาพที่ปรากฏเป็นการระบายความเก็บกดทางอ้อม (จากจิตไร้สำนึก) ใช้การ
พูด เขียน วาดภาพ และวิธี Free association เพื่อเข้าใจสัญลักษณ์และภาพฝัน
ต้องตีความภาพฝันให้สัมพันธ์กับลักษณะ ท่าที ความคิด ความเชื่อของผู้ฝัน
สุดท้าย ความฝันเป็นพฤติกรรมสร้างสรรค์จากจิตไร้สำนึก
~
ทำไมเราจึงฝัน 1.2 (Why We Dream)
ตอบลบตามแนวคิดทางตะวันตก ให้ความสำคัญของความฝันไว้ 4 ประการคือ
1. ฝันที่สะท้อนความจริง ความฝันและความจริงต่างกันอย่างไร ?
นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ท่านเบอร์ทรัล รัสเซล (1942 - 1970) เขียนไว้ว่า
“เป็นไปอย่างชัดเจนว่า ชีวิตยามตื่น เป็นเพียงความไม่ปกติ และฝันร้ายเท่านั้น”
และกล่าวต่อไปว่า
“ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า ข้าพเจ้ากำลังฝันอยู่ในขณะนี้ แต่ข้าพเจ้าก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ฝัน”
นักปราชญ์ทั้งหลายพยายามจะตอบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาตื่นนั้น ดูเหมือนจะแจ่มชัดและเป็นเหตุเป็นผล
ดังที่นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ เรอ เน เดส์การ์ท (1596 - 1650) กล่าวว่า
“ความจำไม่สามารถจะต่อเนื่องกับความฝันจากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเ รื่องหนึ่ง หรือกับชีวิตของเราทั้งหมดได้เลย เหมือนกับที่มันรวมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราขณะที่ตื่นอยู่”
หรือที่ รัสเซล กล่าวอย่างขวานผ่าซากว่า
“รูปแบบที่แน่นอนชัดเจน ขณะตื่นนั้น ต่อเมื่อปรากฏในฝัน มันแปรไปได้”
บางสังคมเชื่อว่า ความฝันและความจริงเป็นอันเดียวกัน เขาเชื่อว่า ระหว่างที่เขาหลับ วิญญาณจะออกจากร่าง และเข้าไปอยู่ในโลกของความฝัน และเขารู้ดีว่า จะเป็นอันตรายเพียงใด
หากปลุกคนที่หลับให้ตื่นโดยที่วิญญาณยังไม่กลับมา จึงมีการลงโทษรุนแรงต่อผู้ปลุกคนหลับ
บางสังคมก็พยายามจะทำฝันให้เป็นจริงให้ได้
2. ฝันเพื่อการพยากรณ์ ที่เป็นความเชื่อมาเนิ่นนาน
3. ฝันเพื่อการเยียวยา ในวัฒนธรรมเอเชียกลาง มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ของบาบิโลนและอียิปต์ โบสถ์ในกรีกไม่น้อยกว่า 600 แห่งที่ให้การบริการเช่นนี้ ซึ่งจะมีป้ายหินอ่อนแขวนให้เห็นชัดเจน
4. ฝันเพื่อเสริมชีวิตยามตื่น แม้ในยุคแรก ๆ ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็เชื่อว่า
ฝันเป็นตัวสะท้อนชีวิตยามตื่นของคนเรา สะท้อนประสบการณ์ อารมณ์ และความต้องการออกมา
นักปราชญ์อย่างอริสโตเติล (384 - 322 ก่อนคริสตกาล) ซิกมันด์ ฟรอยด์ (1859 - 1934) ก็เชื่อว่า ประสาทสัมผัสทำงานน้อยลงขณะหลับ
แพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ อัลเฟรด มัวรี ได้ศึกษาความฝันของคนถึง 3,000 ความฝัน
และสรุปว่า ฝันเกิดจากแรงเร้าภายนอก ประสานกับความประทับใจ
~
ทำไมเราจึงฝัน 1.3 (Why We Dream)
ตอบลบสภาวะของความฝัน (State of Dream)
ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่นักคิดทั้งหลายแสดงทัศนะขัดแย้งกันอย่ างหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องว่า สภาพของความฝันมีความสัมพันธ์อยู่กับสิ่งใด เหตุการณ์ที่ประสบขณะตื่นมีความสัมพันธ์อยู่กับความฝันหรือไม่ ? ประเด็นนี้พอสรุปทัศนะได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1. สภาวะของความฝันคือความอิสระ
ความฝันมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากการดำเนินชีวิ ตประจำวัน
เพราะในชีวิตประจำวัน สมองเราถูกอัดแน่นด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งอาจประสบกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง หรือไม่ก็ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบ แต่ในฝันเราไม่ต้องทำอะไร
นอกจากเดินไปสู่ความสุขสมบูรณ์แห่งอารมณ์…
Burdach กล่าวว่า
ความฝันช่วยเคลื่อนย้ายเราไปให้หลุดพ้นจากโลกของวิญญาณที่กำลัง ตื่น ในความฝัน
ความทรงจำของเราจะดับหายไป ใจของเราเกือบไม่มีความทรงจำ
เนื่องจากถูกตัดขาดไปจากเนื้อหาสาระและเรื่องราวของชีวิตที่กำล ังตื่น ซึ่งเป็นของธรรมดา
2. สภาวะของความฝันสัมพันธ์อยู่กับเรื่องราวขณะตื่น
ความฝันคือตัวการที่สืบต่อชีวิตที่กำลังตื่น ความฝันของเราสัมพันธ์อย่างแน่นอนอยู่กับความคิด
ที่ฝังแน่นอยู่ในวิญญาณของเรามาก่อน ความฝันจึงไม่ใช่ตัวผลักดันให้เราเป็นอิสระจากชีวิตธรรมดาสามัญแต่คือตัวผลักดันให้เรากลับเข้าหาชีวิต
การตั้งคำถาม "ทำไมเราจึงฝัน" ทำให้อยู่ไม่ติด ต้องหาคำตอบ การค้นหาคำตอบทำให้ได้พบทฤษฎีของ ดร.คาร์ จุง และ "สัญลักษณ์ทั้งเจ็ด" บอกได้คำเดียวว่าตื่นใจ และจะนำมาลงในคราวต่อไปสำหรับผู้ที่สนใจอยากอ่านค่ะ
~
ทำไมเราจึงฝัน (1.4) Why We Dream
ตอบลบสัญลักษณ์ทั้งเจ็ด รูปแบบแรกเริ่มของความฝัน โดย คาร์ล กุสตาฟ จุง
บทความครั้งที่แล้วเกิดจากการตั้งคำถาม “ทำไมเราจึงฝัน” ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาทฤษฏีเกี่ยวกับความฝันของ ซิกมุนต์ ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ศาสตร์ แกนความคิดหลักจากหนังสือของเขา “การตีความความฝัน (The Interpretation of Dream)” ซึ่งนำพาข้าพเจ้ามาทำความคุ้นเคยกับทฤษฎีของ คาร์ล กุสตาฟ จุง นักจิตวิทยาและแพทย์ชาวสวิส (1875-1967) เกินกว่าการรู้จักกันอย่างผิวเผินที่ผ่านมา
จุงเป็นศิบย์เอกของฟรอยด์ เขาเชื่อว่าความฝันเป็นการชดเชยทางอารมณ์เช่นกันกับฟรอยด์ แต่ไม่เห็นด้วยว่ามาจากแรงผลักในเรื่องเพศเท่านั้น จุงเชื่อว่า การช่วยเหลือของจิตใต้สำนึกผ่านค วามฝันมาจากความปรารถนาหลายหลา กของคนเรา บ่อยครั้ง ความฝันยังทำหน้าที่บอกกล่าวผู้ฝันถึงความปรารถนาที่คนฝันเองก็ ยังไม่รู้ หรือเก็บกดไว้จนลืมเลือนไป
ทฤษฏีความฝันของคาร์ล จุง บ่งชี้ว่า “ความฝันเป็นการชดเชยจิตใจ (Compensation Function) เพื่อให้เกิดภาวะของจิตใจที่สมบูรณ์”
ที่นี้เราก็มาถึงเนื้อหาที่ทำให้ข้าพเจ้าตื่นใจที่สุด "สัญลักษณ์ทั้งเจ็ด"
จุงบันทึกสัญลักษณ์ที่แน่นอนของความฝัน มีความหมายเป็นสากลใช้ได้กับทั้งหญิงและชายซึ่งเขาเรียกว่า “จิตไร้สำนึกสะสม” (collective unconscious) ในขณะที่ความฝันเป็นเอกเทศ ประสบการณ์ส่วนบุคคลมักสัมผัสสัญลักษณ์และแก่นสารที่เหมือนๆกัน แม้ในผู้คนที่มีความแตกต่างทางขนบธรรมเนียมประเพณี ความคิด ความเชื่อและความศรัทธา
~
ต่อข้างล่างค่ะ
.
.
.
ทำไมเราจึงฝัน สัญลักษณ์ทั้งเจ็ด Seven Symbols
ตอบลบจุงระบุสัญลักษณ์เจ็ดชนิดที่เป็นลักษณะแรกเริ่มหลักของความฝันไ ว้ดังนี้
1. ตัวตนสาธารณะ (The Persona) ความเป็นตนที่สร้างขึ้น คือภาพที่เราแสดงต่อโลกในขณะตื่น เป็นหน้ากากสาธารณะ
ในโลกของความฝัน ความเป็นตนถูกแทนด้วยคำว่า Self ซึ่งอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนตัวจริงของเราทั้งด้านกายภาพหรือพ ฤติกรรม
ตัวตน ของเราในฝันอาจทำหรือไม่ทำสิ่งที่เราจะทำ ตัวตนสาธารณะอาจปรากฏในรูปของหุ่นไล่กาหรือขอทานในความฝัน แต่เรารู้ว่า ตัวตนในความฝันนั่นคือตัวเราเอง
2. เงา (The Shadow) คือตัวเราที่ถูกเราปฏิเสธหรือถูกเก็บกักกดเอาไว้ เป็นส่วนของตัวเราที่เราไม่ต้องการให้โลกเห็นเพราะมันสกปรก ไม่น่าดู เป็นตัวแทนของความอ่อนแอ ความกลัว หรือ ความโกรธ
ในความฝัน เงาจะปรากฏเป็นผู้สะกดรอย ฆาตกร อันธพาล ผู้บุกรุก หรืออาจแทนด้วยรูปร่างลักษณะที่น่ากลัว หรือเป็นเพื่อนหรือญาติ
บุคคล ในฝันเหล่านี้บีบบังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไ ม่อยากพบเจอ ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน เพื่อให้คนที่ฝันต้องพยายามเรียนรู้ที่จะยอมรับส่วนที่เป็นเงาข องเรา ข่าวสารที่มากับฝันก็เพื่อประโยชน์ของเราเอง ถึงแม้ความหมายหรือการจัดการของจิตไร้สำนึกจะไม่แจ่มแจ้งชัดเจน อย่างทันทีทันใด
~
ยังมีต่อค่ะ
^^
อักษรภาษา และเวลาของฉัน
ตอบลบเขียนร่วม จดหมายจากข้าพเจ้าถึงข้าพเจ้าเอง
5 เมษายน 2510
ถึง ข้าพเจ้า
เป็นไงครับเพื่อนยาก เราหนีกันไม่พ้นเลยใช่ไหม
ผมประหลาดใจที่จดหมายในฤดูหนาวเดือนธันวา 2507
เพิ่งเดินทางมาถึงผมบ่ายวันนี้ เมษายน 2510
จดหมายจากคุณ เดินทางมาถึงผมในยามบ่ายร้อนจัดดั่งเตาอบ
ความร้อนทำให้ผมรู้สึกไม่ผิดไก่งวงอบเกรียมกรอบ กำลังได้ที่
ครับ ผมสะดุดใจกับคำว่า 'ได้ที่'
บ่อยครั้งก็แค่นี้เองครับ
ชีวิตบางทีก็ 'ได้ที่' แต่บ่อยครั้งก็ 'ได้ที' ครับ
ผมหวังว่าคุณจะรับมือกับกรณีหลังได้ดีเช่นที่ผ่านมา
ผู้ชายหกล้มหัวคะมำได้ครับ กี่ทีก็ได้
เขายังคงเป็นลูกผู้ชายเพื่อที่จะหัวทิ่มได้อีกครับ
ตราบเท่าที่เขาไม่โทษใคร
ผมขอบคุณ ที่คุณไม่เคยโทษใคร นอกจากผม
ผมไม่รู้ว่าคุณฟุ้งซ่านแค่ไหนตอนเขียนจดหมายถึงผม
ผมคิดอย่างนี้เมื่อคุณบอกผมว่าคุณไม่มีความรักให้ใคร
นั่นทำให้ผมตกใจแทบหงายท้อง ผมควบคุมตนเองสุดฤทธิ์
ลองคิดถึงภาพไก่งวงอวบๆ อบจนหนังกรุบกรอบหงายท้องดูซีครับ
ไม่ใช่ภาพน่าดูเลยใช่ไหม
ที่สำคัญ กรุณาอย่าบอกผมอีกครับว่า...
ความรักได้บินหนีจากห้องหับความรู้สึกของคุณไปแล้ว
เพราะนั่น ส่งผลให้ผมเข้าขั้นผู้ทุพลภาพทางอารมณ์
ผมว่า ความรู้สึกรักของคุณไม่ได้บินหนีไปไหน
คงแค่เข้าไปซุกซ่อนอยู่ในห้องนั้นนั่นเอง
ลองไปหาดูนะครับ
ห้องนั้นน่ะ
ผมว่า ความรัก กำลังนอนหลับสนิทได้ผ้าห่มหนานุ่มในห้องเย็นฉ่ำ
ความรักกำลังนอนหลับในห้องหับแห่งจิตวิญญาณ
ครับ ผมว่าอย่างนั้น
แต่ถ้าคุณยังยืนยันว่า ความรักตายไปแล้ว
ผมก็ขอใช้สิทธิ์ความเป็นคุณ โต้เถียงหน้าดำหน้าแดงเลยล่ะครับ
ผมยอมกับอะไรได้หลายๆอย่าง
แต่ผมไม่ยอมเป็นคนพิการทางอารมณ์อย่างเด็ดขาด !
ผมหวังว่าคุณจะไม่โกรธ ไม่ผรุสวาทใส่ผม
ผมย่อมมีสิทธิ์มีเสียงเต็มร้อยในการแสดงความคิดเห็น
ก็คุณเขียนหาผมเองนี่ครับ
ด้วยความนับถือ
ผมเอง
อักษรภาษา และเวลาของฉัน
ตอบลบเขียนร่วม จดหมายจากข้าพเจ้าถึงข้าพเจ้าเอง (ฉบับสุดท้าย)
สวัสดีครับ
ผมชักติดใจจดหมายจากผมถึงผมซะแล้วซีครับ
ถึงเราจะเป็นคนๆเดียวกัน แต่หลายๆมุมมองของเรากลับต่างกัน
คุณอาจเป็น Prince of Paradox อย่างนาย Chesterton
นักปรัชญาขวางโลกผู้น่าทึ่งคนนั้น
คุณอาจเป็นแง่ลบ และผมอาจเป็นแง่บวก
ครั้งที่แล้ว ผมพูดถึงความล้มเหลว
ความสามัญหนึ่งของความเป็นมนุษย์
ความล้มเหลว เช่นเดียวกับมาตรวัดคุณค่าความเป็นคนที่มนุษย์กำหนดขึ้นอื่นๆ
ความล้มเหลวเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของเรา
เพราะความล้มเหลวนี่แล้วที่ทำให้มนุษย์ทุกคน ไม่อาจหนีพ้นความสามัญไปได้
เช่นเดียวกับความเจ็บป่วย ความชรา และความตาย
นอกจากประเด็นนี้แล้ว ผมยังปลุกปลอบใจคุณเรื่องความรัก
หลังอ่านจดหมายฉบับล่าสุด
ผมหนักใจไม่น้อยในการเลือกใช้คำของคุณ
"ผลประโยชน์"
ผมถึงกับส่ายหัว ยกขาขึ้นพาดเข่า และแล้วกระดิกเท้าเพื่อปลดปล่อยความกดดัน
ผมกระดิกเท้าจนได้คำตอบ ...
เราได้รับผลประโยชน์จากความรักเสมอนะครับ
ความรัก ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เราลืมมันไม่ได้แม้ในยามยุ่งยากอย่างที่สุด
และในความลำบากแสนสาหัส มนุษย์หันหาหัวใจดวงที่มีให้
ไม่ว่าในความสำเร็จหรือล้มเหลว เราจะหันหน้าและมุ่งสู่แหล่งกำเนิดนั้น
คุณอาจเรียกว่า "ผลประโยชน์"
ในขณะที่ผมเรียกว่า "การให้ และรับ" ซึ่งเราอาจเรียกรวมได้ว่า...
"การสนับสนุนกันและกัน" "การโอบอุ้ม" "การประคับประคอง"
"การผลักดัน" "การแทรกแซง" หรืออะไรก็แล้วแต่จะนึกขึ้นได้ครับ
แต่ทั้งหมดนี้ มาจากสองสิ่ง
นั่นคือการให้และการรับ ครับผม
เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งเอาแต่รับ นั่นคือความเห็นแก่ตัว การเอารัดเอาเปรียบ
เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหนึ่งเอาแต่ให้ โดยไม่เรียกร้อง นั่นคือการเสียสละหรือตาบอดครับ
เมื่อไหร่ที่ทั้งสองฝ่าย ต่างให้และรับ โดยต่างฝ่ายไม่รู้ตัวว่า"ให้"
และรู้ตัวว่า"รับ" นั่นคงเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลยล่ะครับ
สำหรับประเด็นคำถามที่คุณตั้งขึ้น ผมว่า ..
เมื่อคำว่าผลประโยชน์ปรากฎขึ้นมาให้เห็นแล้วละก็
คุณคงต้องไปดูสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มนุ่มหนานั่นแล้วครับ
ความรักคงยังหลับใหลและคงไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาง่ายๆ
ในช่วงเวลาอย่างนี้
ผมจะนั่งเฉยๆ และ cross the fingers ครับ
นั่นหมายความว่า ขอให้เป็นไปอย่างที่ผมหวังเถอะ
ด้วยความนับถือ
ผมครับ
ฮ่าๆๆๆๆ ดีๆค่ะ
ตอบลบอันไหนเขียนดีเอามาเก็บไว้บ้านเราด้วยเนอะ
ชอบมากเลยสองฉบับนี้อ่ะ
แค่มีคนชอบเพียงคนเดียว
ตอบลบก็เอามาเก็บแล้ว
เพราะตัวเองก็ชอบค่ะ
:)
ต้องมีคนชอบมากกว่าคนนึงซีตะ ถ้าอ่านเนอะ
ตอบลบเป็นจดหมายที่สนุก มีข้อคิด
เปิดเผย จริงใจโดยไม่พยายาม
อักษรภาษา และเวลาของฉัน เขียนร่วม การเดินไปข้างหน้า เพื่อพบทางที่ทำให้เราถอยหลัง
ตอบลบฉันเดินหน้า แล้วถอยมาข้างหลัง
แล้วเดินหน้า แล้วถอยหลัง
แล้วถอยหลัง
แล้วถอยหลัง
ฉันเดินหน้า แล้วเดินหน้า
แล้วเดินหน้า
แบกรับวันนี้ไว้ด้วยหวังของวันพรุ่ง
พรุ่งนี้ไม่เคยให้สัญญากับเรา
มีเพียงเราให้สัญญากับตัวเอง
ถึงวันพรุ่ง
ฉันไม่เก็บดอกไม้ขึ้นมาดม
หากก้มลงสูดหอมดอกไม้
ฉันไม่เด็ดผลไม้มากิน
หากค้อมคำนับดิน
และมอบปากของฉันให้ผลไม้ (เอ็มมิลี่ ดิคคินสัน)
ฉันเดินหน้าและถอยหลัง
ช้าบ้าง เร็วบ้าง
ด้วยท่วงท่า จังหวะ และท่วงทำนองของฉันเอง
~
อักษร ภาษา แลัเวลาของฉัน เขียนร่วม ... เราหยุดแล้ว ืำไมประเทศไทยยังไม่หยุด
ตอบลบความ รุนแรง สัญชาตญาณดิบ ความเถื่อน เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ เช่นเดียวกับสัตว์ป่า เราอาจพูดได้ว่า มันคือสมบัติหนึ่งของความเป็นมนุษย์ เป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนให้เรายืนหยัด หาทางรับมือกับโลกที่ต้องแข่งขัน ถึงแม้เราไม่ต้องการและไม่ชอบมัน
ไม่มีการแสวงหาอำนาจในความรัก เมื่อมีการแย่งอำนาจ ที่นั่นปราศจากรัก ฉันไม่เคยคิดว่าอยากตะโกนใส่หน้าผู้เป็นที่รักได้เลยแม้สักคน และขณะเดียวกันก็ไม่ตัดสินหรอกว่า ทุกคนจะคิดและทำเหมือนฉัน
ฉัน ในฐานะผู้ชื่นชอบถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกผ่านบทกวี เคยประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า หวงแหนทุกอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ที่ชีวิต’คน’และ’เคี่ยว’จนผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกัน...
เป็น"คน"
คนที่ไม่เหมือนใคร
แน่นอน ส่วนประกอบหลัก ส่วนผสม และสิ่งใช้ปรุงรสชาติในหม้อแต่ละใบไม่เหมือนกัน "ไม่มีใครที่เหมือนกันอย่างแท้จริง" (คำของผู้รู้)
ปี ที่แล้วในเดือนเมษยน บ้านเมืองร้อนระอุลุกเป็นไฟ ปีนี้ก็เช่นกัน หากรุนแรงมากกว่ามาก เราเห็นความรุนแรง เราเห็นใบหน้าแห่งความโกรธเกลียดเคียดแค้น ความบ้าเลือด ความเลือดเย็น เราได้ยินถ้อยคำปลุกระดมรุนแรง "ต้องฆ่านายก ต้องเอาเลือดมาล้างตีน ต้องแขวนคอ ต้องเผา ต้องทำลาย"
เราเห็นท่านนายกรัฐมนตรี (ผู้สมควรถูกกระทำด้วยสารพัดวิธี) สัญชาตญาณดิบดั้งเดิม ผ่านกระบวนการกล่อมเกลาจนเป็นท่าน ท่าทีและถ้อยคำ ไม่สะใจ กินใจ ปลุกเร้าความฮึกเหิมให้ใคร
หลายคนผิดหวัง
แต่นั่นคือท่าน ที่ผ่านกระบวนการละเอียดละออมาตลอดชีวิต ท่านกำลังทำบางตัวอย่างให้เราดู และเราที่เกิดมาเป็นคน มีโอกาสเลือกว่าจะเป็นคนชนิดใด
พี.เจ แอนเดอร์สัน เคยกล่าวไว้ว่า "ใช่คนที่เสียงดังกว่าจะเป็นคนถูก"
ความนิ่ง ความอ่อนโยน ความนุ่มนวล ไม่ใช่ความอ่อนแอ หากเป็นความแข็งแกร่งอย่างที่สุด
ความขัดแย้ง ไม่เห็นพ้อง เป็นเรื่องสามัญ เรานั่งลงแล้วหาทาง หาพิ้นที่ ที่ทุกคนอยู่ได้ ในบ้านหลังนี้ บ้านที่มีพ่อของเรา
หยุดความรุนแรงทุกรูปแบบ
17 พฤษภาคม 2553
เยี่ยม! ศศิเข้าใจว่าเวลาเขียนร่วมทำให้ได้เขียนแตกต่างไป แม้ยังคงเป็นตัวเอง
ตอบลบงานเขียนร่วมของจัสแปลกไป แต่ยังเป็นจัส
ศศิว่ามีนใหม่แล้วก็สดดี
จัสเขียนสดใช่มั้ยคะ
เขียนร่วม Locate Disorder
ตอบลบหมอกอึมครึมกระจายอณูลงครอบคลุม
คล้ายล้อมรุมสุมละอองเทา
ความเศร้า ?
ไม่เป็นไรหรอก มันไม่มีอยู่จริง
เพียงการมาเยือนของแขกไม่ได้รับเชิญ
ความเจ็บป่วย
แสงแดดยังสาดส่อง
บนถนนสายเดิมไม่มีหลุมบ่อ
ดวงใจยังแข็งแรง
ความเจ็บป่วยมาเยือนเพียงชั่วขณะ
ไม่ช้าจะต้องละไปเพราะสำนึกรู้ว่าไร้บัตรเชิญ
วันนี้ หม่นหมอกผ่านไปแล้ว เห็นไหม ?
:)
...
2 มิถุนายน 2553
Tightrope Walker
ตอบลบการทรงชีวิตอยู่บนเส้นลวดแห่งความสมดุล
ไม่ผิดกับนักไต่ลวดในโรงละครสัตว์
ถ้าเผลอเพียงเสี้ยววินาที เป็นหล่นลงมาทันที
กระนั้นเมื่อความสุขมาหา ขอเธออย่าได้กลัวเกรง
จัดการความสุขสุดโต่งให้เป็นสุขสามัญ
ทุกข์สุขหรืออยู่นาน
เมื่อความสุขมาเยือน
เก็บฟอนไฟไว้เป็นพลัง
ดูนั่น ! สิ่งรายล้อมภายนอกรอท่า
ไม่ช้าก็เร็ว
ความทุกข์ต้องมาเยือนเราทุกคนจนได้
ค่ำวานแต่งตัวสวยงามจัดงานปาร์ตี้ รุ่งเช้าวิ่งหาชุดดำ
สีชมพูเรื่อบนแก้มเมื่อคืนก่อน วันนี้ซีดขาว เคลือบฉาบด้วยคราบน้ำตา
เราไม่เคยลืมความเศร้า แต่เราก็ไม่ลืมความสุข
ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครอย่างแท้จริง
แม้แต่ตัวเราเอง
ในช่วงเวลาสุดโต่ง
เราประคับประคองตัวเอง
เช่นนักใต่ลวดในโรงละครสัตว์
ระมัดระวังตัวทุกก้าวย่าง
ขณะวางเท้าไปข้างหน้า
...
เขียนร่วม River Fire เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554
Vincent van Gogh & Impressionism
ตอบลบ"ฉันเป็นหมาตัวนั้น ไอ้หมานั่นคือฉัน"
คำพูดของวินเซนต์ แวน ก็อกห์ในจดหมายถึงเธโอน้องชาย ทำให้ทึ่ง
ครั้งนี้ เกิดคำถาม ทำไมนะ วินเซนต์ที่ถูกจัดเป็นศิลปินกลุ่ม Post-Impressionism ถึงไม่มีชื่ออยู่ในบทความหัวข้อเดียวกันนี้
ทำไม?
พบประโยค "ฉันวาดภาพนัยน์ตาคนดีกว่าจะไปเขียนภาพวิวทิวทัศน์พวกนั้น"
วินเซนต์คงหมายความว่า
เขาต้องการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของ”คน”ที่ผ่านพบ ไว้ในภาพของเขา
มากกว่าที่จะถ่ายทอดยุคสมัย ผ่านเหตุการณ์บนท้องถนนหรือภาพวิวทิวทัศน์
ที่วาดนอกสถานที่ อย่างที่บทความที่พีเป้เอามาลง บอกเล่าไว้ข้างบน
คนที่ติดตามงาน แวนก็อกห์ รู้ดีว่า งานของเขาคือการไหลบ่าทางอารมณ์
ความพลุ่งพล่านอย่างถึงที่สุดที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างสามัญ ลงตัว และชัดเจน
วินเซนต์เดินทางเข้าปารีสช่วงหนึ่ง ทำความรู้จักกับศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ ที่ได้หยั่งรากลงแล้ว เขารับบางอย่างมา และแล้วพุ่งทะยานเหนือความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ คนส่วนใหญ่ว่าอย่างนั้น
ขอนำบางส่วนของบทความที่อ่านมาลงนะคะ ใช้เวลาเพราะต้องแปล
ใช้ทับศัพท์บางคำ (เพราะไม่ค่อยรู้คำศัพท์ทางทฤษฎี เรียนรู้จากที่นี่ก็มาก)
พวกที่บอกว่าเขาทะยานเหนือความเป็นอิมเพรสชั่นนิสท์ อ้างว่า งานของ แวน ก็อกห์ คือการไหลบ่าของอารมณ์ความรู้สึก ประกอบการใช้ฝีแปรงอย่างอิสระและเบา ทำให้ภาพของเขามีพื้นผิวและสไตล์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
จินตนาการของเขาพลุ่งพล่าน แต่กระนั้นก็ควบคุมได้และถ่ายทอดออกมาอย่างสามัญที่สุด เขาวาดภาพห้องในบ้าน ใบหน้า หรือท้องทุ่ง แล้วแปรเปลี่ยนให้เป็นงานที่น่าตื่นเต้น
งานของเขาเป็นอิมเพรสชั่นนิสท์ตรงที่ไม่เน้นตรงรูปแบบ(form)ที่ถูกต้อง
แวนก็อกห์ใช้อารมณ์ความรู้สึกของสิ่งที่เขาวาดมารองรับภาพวาดของเขา
ในขณะที่เขาสามารถควบคุมการแปลงรูปฟอร์มของความรู้สึกขัดแย้งมวลรวม
ให้ลงตัวด้วยวิธีที่ล้ำลึก
เขาปลดปล่อยตนเอง มีอิสระในการเปลี่ยนสิ่งที่เห็นให้เป็นสิ่งที่เขารู้สึก
งานของเขาถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาอย่างชัดเจน
เขาจึงส่งประกายเหนือความเป็นอิมเพรสชั่นนิสท์
Vincent van Gogh (1853-1830)
ในระว่างยังมีชีวิตอยู่ เขาขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียว (บางแห่งบอกว่าสองภาพ)
เขากลายเป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกหลังจากนั้น
*
2 มีนาคม 2554