Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตะเบบูญ่า My Quiet Pink Trumphet Tree แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตะเบบูญ่า My Quiet Pink Trumphet Tree แสดงบทความทั้งหมด

22.5.58

คนรักของสายลม




"หญิงสาวผู้เฝ้ากวาดลาน ตะเบบูญ่าบาน
ขับขานบทเพลงสายลม
ปูเสื่อหัวใจไว้ชม หอมกลิ่นอารมณ์
ไหวหวานปานเทพนิยาย
ณ ทุ่งดอกไม้ระบาย สีสันพรรณราย
เราไม่คาดคั้นปั้นปึ่ง
ช่องว่างกว้างขวางนั้นจึง มีเพลงลึกซึ้ง
ขับขานงันเงียบงดงาม"

"สายลมกับคนรัก"

*


พื้นที่โล่งกว้างที่เลือกสรรค์ เรากำนัลผืนดินนั้นด้วยสวนดอกไม้
นิรมิตขึ้นด้วยหัวใจดีงาม ความคิด และสองมือของเรา


อย่างช้า ๆ
สวนสวยที่เคยมีที่อยู่เพียงในจินตนาการปรากฏขึ้นต่อหน้า
ทุกช่วงเวลาอารมณ์ เราชื่นชมวันคืนที่เกิดขึ้นจากภาพร่างวันวาน
ผ่านหวานและขมของฤดูกาลที่เป็นใจและไม่เป็นใจ
 พันธุ์ไม้ที่แสวงหาเติบโตเบิกบาน
มวลดอกไม้คลี่แย้ม แตะแต้มสีสวย ๆ บนหลากหลายเขียวใบไม้
คล้ายริบบิ้นที่ผูกไว้อย่างสวยงามบนกล่องของขวัญ


ภาพร่างจากวันวานถูกเก็บไว้ในห้องหับจิตวิญญาณ
หนแห่งเงียบสงบ
หากต้องการ เราสามารถได้ยินเสียงลมหายใจเราเอง
ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงเหล่าโน้ตที่เราโปรดปราน
ท่ามกลางเสียงคุณอ่านบทกวีบางบทในบางวันคืน
บางวันคืนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
บางวันคืนที่เป็นสุข
ล้วนแล้วแต่วันคืนดี ๆ ที่จดจำ


บางครั้ง เราปอกเปลือกห่อหุ้ม
เหลือเพียงจิตวิญญาณเด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หัวเราะร้องไห้ในระยะเวลาสั้น ๆ
 บางครั้งเราเก็บงำดั่งเช่นเราหุ้มห่อผลมะม่วงที่ยังไม่สุก
บางครั้งเราทิ้งอาหารและน้ำที่มีพิษ
และทุกสิ่งที่ไม่อาจเยียวยาใครได้แม้แต่ตัวเราเอง


"ใครกันหนอขโมยความอ่อนไหวของผู้คน" คุณรำพึงดังเพ้อไข้
"ไม่มีใครหรอก พวกเขาทำหล่นหายไปเอง" ฉันตอบ หวังปลอบประโลมความเปราะบางของเรา
"นั่นสินะ ความอ่อนไหวคือสมบัติภายใน ใครเล่าจะสามารถหยิบฉวยหรือแย่งยื้อ"


นานเท่าไรแล้ว ยามเมื่อเดินทางไกล คุณขอให้ฉันวาดภาพให้ในยามเช้าของทุกวัน
ภาระเร่งร้อนทำให้เหมือนมองข้าม แต่ไม่เคยลืมเลย
ถึงวันนี้ ฉันวาดให้คุณแล้ว ภาพจากบทกวีที่คุณเขียนให้
ในภาพวาดไม่มีแคนวาสเพราะคุณกำลังมองมันอยู่
เห็นไหม 
แคนวาสที่ว่างเปล่า
ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป



*





9.12.54

ค่ำคืนที่บ้านขาว / Air

White Room at night, Jan's by Jan



บ้านขาวอ้างว้างหม่นเทาขึ้นทันทีที่คิดถึงแม่

ไม่มีอ้อมแขนโอบอุ้มกอมะลิซ้อนต้นเก่าอีกต่อไป

แรงกำลังใดๆไม่อาจไขว่คว้าทวงคืน

เป็นได้เพียงในฝันที่ไม่อาจกำหนดแม้ในวันโชคดี

หากเช่นเถาอ่อนพวงชมพูแสนอ่อนโยน

และกลิ่นหอมหวานดอกสายน้ำผึ้ง

รอยยิ้มของแม่ไม่หายไปไหน




ท่ามกลางวังวนระหว่างการใช้ชีวิตและการมีชีวิต

ปาฏิหารย์เล็กๆเกิดขึ้นบ้างท่ามกลางกิจวัตรจำเจ

จัดการสิ่งอยากทำและสิ่งต้องทำไม่ให้บีบรัด

ส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองให้ดีตามสัญญา

แม้บางครั้ง อดรู้สึกไม่ได้ว่า ช่วงเวลาที่ดำรงอยู่นี้ถูกแช่แข็ง




ลมเย็นมาถึงพร้อมข่าวคราวเจ็บไข้

ยาพ่น ความหนาวเยือก และผ้าพันคอที่เอื้อมไม่ถึง

"จะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้"

สายลมยืนยันกับช่อเล็บมือนาง




ถ้อยคำเปรียบแมลงตัวจ้อยซุกซ่อนอยู่ที่ไหนนะ

ดอกปีบร่วง กระจัดกระจาย ระทดระทวยบนผืนหญ้า

หรือหลบอยู่หลังกลีบแข็งดาหลาที่เชิดดอกสวยสดอย่างไม่ใส่ใจ

หรือแฝงอยู่กับเกสรชมพู่ที่ครวญคร่ำอำลาหน้ากระดาษ


แม้กลิ่นหอมสีขาวก็ไม่อาจนำชีวิตชีวาสู่ผู้ป่วยไข้

ค่ำคืนจึงไร้บทสนทนา

ค่ำคืนที่เงียบงัน


เพียงเสียงเพลงสายลม แอร์ ออน เดอะ จี สตริง ของ บาค

ล่องลอยไปในค่ำคืน



Johann Sebastien Bach, Air




*

28.11.54

ผู้สังเกตการณ์ The Observer




ความเศร้าอาจโอบกอดเธอไว้
แต่เธออย่าโอบกอดความเศร้า
ปลดปล่อยมันเสียเถิด
แล้วเธอจะรู้ว่า
ความเศร้าไม่เคยโอบกอดเธอเลย

*

สองแขนที่ได้คืน อาจผืนฟ้าคืออาณาจักร
สองปีกบินไปในฐานะผู้สังเกตการณ์
ความโล่งกว้างของท้องฟ้านั้นอ้างว้าง
หากเธออย่าโอบกอดความเดียวดาย
เพื่อจะได้รู้ว่า
ความเดียวดาย มิได้เสน่หา


กระนั้น อย่าโอบรัดเสรีภาพ
ไม่มีใครสามารถกักขังเสรีภาพไว้ในอ้อมแขน
ด้วยมันจะเปลี่ยนไป เป็นสิ่งตรงกันข้าม


ดูสิ ในช่วงเวลาฉุกละหุกแห่งวิบัติภัย
สิ่งใดที่ติดตัวโดยไม่ต้องพกพา
ล้วนแล้วแต่นามธรรมหรือมิใช่
นามธรรมใดหรือที่ติดตัวเธอมา
นามธรรมใดที่เหลืออยู่
และดำรง


ฉัน มองหน้ากระดาษขาวของสมุดปกดำนิ่งนาน
ลูบปกหนังนิ่มๆ ก่อนเขียนถ้อยความ
ในฐานะผู้สังเกตการณ์









*



21.11.54

จากมุมมองของสิ่งที่มี Of what we have

liveandinspire


จันทร์ดวงเศร้าที่เราเห็น
เป็นคนละดวงเดียวกันกับพระจันทร์ใหม่ของอาดัม
ด้วยมนุษยโลกได้รินเติมความโศกาอาดูร
ลงในความพิสุทธิ์แห่งจันทร์

*

1.

เธอผู้ซุนฟอนไฟ

ใครหรือกอดเก็บความเศร้าเอาไว้
ในเมื่อความสุขก่อนเก่าบดบังเสียหมดแล้ว
ความสุขทำให้เราลืมมันไป
เรามองและเห็นด้านตรงข้าม ด้วยสิ่งที่เรามี
โลกเรียกสิ่งนี้อย่างไร เป็นเรื่องของโลก
เรา
เรียกสิ่งเดียวกันนี้ว่าอย่างไร ย่อมเป็นเรื่องของเรา


2.

เธอผู้เหลาดินสอ

"ดูสิ นกกางเขนตัวเดิมยังคงนำสีขาวดำมาแตะแต้มเถาเฟื่องฟ้าดอกชมพู
รู้ไหม ถึงวันนี้มันทำความรู้จักกับนกเขาเล็กคู่นั้นแล้ว แม้ยังไม่สนิทสนม
ดูมันวางท่าทั้งที่ทำไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปร่วมกลุ่ม
รอยยื้มเกิดขึ้นได้ง่ายอย่างนี้เอง


ม่านบาหลีที่ย้ายมาแขวนริมระเบียงตายหมดแล้ว
ใครๆบอกว่าอย่าให้มันยาวจนถึงดิน
ไม่อย่างนั้นมันจะเติบโตรวดเร็วจนยากจะกำจัด
ฉันเห็นกับตา ไม่น่าเชื่อว่าต้นไม้เลื้อยอ่อนโยนบอบบางจะโตมาเป็นเถาวัลย์ป่า
ครอบครองอาณาเขตกว้างขวางได้เพียงนั้น


หมู่เมฆอ้วนพีหายไปแล้ว ไม่ช้าน้ำเหนือก็จะหายไปด้วย
ลมเย็นๆแวะมาเยี่ยมเยียนบ้านขาว ฉันเฝ้าคอยฤดูหนาวอย่างจดจ่อ
อากาศแห้งเย็นทำให้สบายตัว อาการปวดหัวเพราะความชื้นจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
สักพัก เราจะรู้ว่ามีต้นไม้ใหญ่กี่ต้นที่ต้องตายหลังน้ำท่วม
ฉันหวังอย่างที่สุดว่าตะเบบูญ่าจะไม่เป็นไร"


3.

ดูนั่น ใครโอบกอดความสุขเก่าๆอยู่ในห้อง
และยื่นมือรองรับความสุขใหม่ๆที่คำถามจากเธอนำมาให้
ความเศร้าได้แต่เมียงมองอย่างผิดหวัง
บ่อยครั้ง เราแลกบางสิ่งเพื่อบางอย่าง
และบางครั้งเรายอมเสียบางอย่างไป
เพราะปรารถนาจะได้สัมผัสรายละเอียดความงดงามของโลก

จากมุมหนึ่งในบ้านหัวใจ เรามองออกไป
ด้วยสิ่งที่เรามี




*****


บทกวีสี่บรรทัดแรกรับแรงบันดาลจากงานแปลของเพื่อนเขียน "มนุษย์แปลกหน้า" หรือ มนุษย์ติสต์

Thanks Tist.


17.8.54

ไม่เคยแน่ใจ Uncertain

"For my part, I know nothing with certainty but the sight of the stars makes me dream."
(Vincent van Gogh)


petals in the wind

"บทกวีที่มาจากคุณล้วนเป็นของคุณ"

*

จริงแล้ว ไม่เคยแน่ใจได้เลยว่า

บทกวีที่คุณเขียนบทใด มีที่มาจากใคร

หรือเพื่อใคร


คำ วลี ประโยค ชิ้นส่วนของบทกวี

ไม่ผิดกลีบดอกไม้ปลิดปลิว

กระจัดกระจาย รายริ้วพริ้วไหวอยู่ในสายลม


อย่างคุณว่า เราคงเป็นเครื่องมือหนึ่งผู้รวบรวมชิ้นส่วนเหล่านั้น

ฉันอาจเป็นตัวแทนหนึ่งของมวลหมู่ดอกไม้

คลี่บานอยู่ท่ามกลางอุทยานลึกเร้น

เพื่อคู่ปีกของเรา จักได้โบยบินไปใต้ฟ้ากว้างแห่งจินตกวี


ตัวหนังสือของเรา

ถ้อยคำของเรา

พูดจากันเสร็จแล้วหรือยังนะ


สายลมผิวแผ่ว "บางอย่างยังไม่ลุล่วง"

กระนั้น ใครคนหนึ่งจึงเปิดลิ้นชักแห่งความทรงจำ

ปลดปล่อยฝูงนกให้กางปีกโผบิน

และแล้วเฝ้ามอง...จนกว่าจะลับหาย


ขณะอีกคนลั่นกุญแจ

เก็บกักไว้ในห้องหับ

ที่ปิดตาย


*





13.4.54

อย่ามองความมืดด้วยดวงตา Don't Use Your Eyes In Darkness



เขามองความมืดด้วยดวงตา เขาจึงปรารถนาแสงไฟ

สองมือคลำไขว่ควานหาเทียนไขในสีดำ
ต้องมีสักเล่มหรอกที่หิ้งหนังสือ ในตู้ หรือบนโต๊ะ
ไม่ช้าฉันจะพบมัน
และแล้วเมื่อนั้น ฉันจะลงนั่งเขียนบทกวีบทใหม่
แด่เธอ ผู้ไม่อยู่ตรงนี้
*
สองเท้าสะเปะสะปะค่อยก้าวย่างอย่างระมัดระวัง
พลันแว่วเสียงระฆังสายลมจากแสนไกล
เขาเงี่ยหูฟัง
ความเงียบงันอันอึงอลแตกสานซ่านเซ็น
กระจัดกระจายไปหลบซ่อนอยู่ในความเงียบที่เงียบยิ่งกว่า
ความเหงาที่เหงายิ่งกว่า
ความเศร้าที่เศร้ายิ่งกว่า
ดั่งที่เขาเคยว่าไว้ในบทกวี แด่เธอ
ผู้ไม่อยู่ตรงนั้น
*
สะดุดทรุดล้ม เขาโหยหา ปรารถนาจะร่ำไห้
แต่น้ำตาสักหยดก็ไม่ยอมไหล อยากปลดปล่อยน้ำในใจให้ทะลักล้นออกไปจากร่าง
เมื่อแสงสางส่องรอดหน้าต่าง
หวังเหลือเพียงซากกายหุ้มห่อกล่องแห่งความจดจำ
ที่หัวใจในนั้นไม่เคยหยุดเต้น

*
“เราจะวางความรักดีดีไว้ในโลก”
บนเขาสูงบ่ายวันนั้น เขาบอกกล่าว
“ค่ะ เราจะวางความรักดีดีไว้ในโลก
หากเมื่อฉันต้องจากไป
อย่าหยุดวางความรักของฉันไว้ในโลกด้วยนะคะ”
... เธอเลี่ยงหลบความหวั่นไหว ปรายตามองป่าสัก
ต้นสักกำลังออกดอก
“ฉันสงสัยว่าดอกสักหอมหรือเปล่า”
“ไม่รู้ซี”
จนวันนี้ แม้จนวันนี้ เขาก็ยังไม่รู้
จะแสวงหาคำตอบเพื่ออะไรในเมื่อหอมดอกสักอวลกรุ่นนับแต่วันนั้น
ด้วยคำถามของเธอ
*
ภาพในมโนนึกแจ่มกระจ่าง ชัดเจนเช่นความรู้สึก เขาพรั่นพรึง
เป็นเช่นนั้น ในความมืด ฉันเห็นด้วยดวงใจ ไม่ใช่ด้วยดวงตา
ความปรารถนาที่เห็นพ้อง จะต้องดำเนินต่อไป
แม้เธอไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
*
ในความเจิดจ้าของแสงเช้าบนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน
เธอ
หลับตา.

*

1.9.53

แสงแรก First Light of Day



























ใครนะมาเยี่ยมบ้านตั้งแต่รุ่งสาง
ยามแสงแรกโรยละอองอ่อนลงแตะต้องผืนโลกแผ่วเบา
ฤดูกาลปลิดดอกชมพูตะเบบูญ่าร่วงหล่นลงตั้งแต่ปลายกุมภา
หากช่อน้อยดอกปีบยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ
มะลิซ้อนพรูพรั่ง ขาวเปล่งปลั่งไม่ลาโรยใต้โปรยฝอยฝนวสันตฤดู
รับรู้การเยี่ยมเยียนและผ่านผันของลมเช้า


ใครกัน มาเยี่ยมบ้านตั้งแต่เช้า ขณะดวงดาวคล้อยละฟากฟ้า ...
ขณะแสงอุษาจุมพิตหยดน้ำค้างบนยอดหญ้า ... อ่อนโยน
เธอพกพาสิ่งใดมาด้วยหรือ
ความรัก ความชัง
แค้นคลั่ง อาดูร
หรือเพียงความเวิ้งว่างภายในของผู้ไร้รวงรัง


สวนนี้ไม่มีหรอกดอกมะลิลา
สนามหญ้าหนานุ่มรอรองรับเท้าเปลือยเปล่าของใครหรือ
กี่คนเล่าปรารถนาสัมผัสแนบสนิทผืนดิน
ที่ไม่เคยสั่นคลอน แม้ความตาย
ณ ใต้ร่มตะเบบูญ่านี้


พวงกุหลาบเลื้อยส่งกลิ่นอุ่น
ยามอรุณส่งรังสีเจิดจ้าขึ้นเรื่อยเรื่อย
คอยคนปลูกมาชมงาม ชื่นหอมนิรันดร์ของเธอ


ประตูเปิดแล้ว
แสงนอกสาดรังสีเหลืองประกายแสด เข้าอาบอุ่นห้องขาวหนาวเย็น
... และเธอ
ย่างก้าวเท้าเพรียวลงบนเรียวหญ้าหนานุ่ม
ชุ่มชื่นหลากสีธรรมชาติรอบกาย
กลมกลืนคล้ายมลายหายท่ามทั้งหลายที่รอคอย
และรอยเท้าคู่นั้น ...


~

โดย มนุษย์

และรอยเท้าคู่นั้น..

อรุณทอแสงเป็นเส้นรุ้งทอดผ่าน
ดวงตามืดบอดบอบช้ำ
ย่ำเดินย่องโดดแดดิ้นราวเด็กน้อย
ยามดอกรักโปรยปรายดั่งสายฝน
ตัดเสี้ยวตะวันทิศตะวันออกเมื่อ
สักครู่หนึ่ง เพียงชั่วครั้ง
และไม่อาจรับรู้ถึงอดีตกาลของวันพรุ่ง
ฉันซุกตัวใต้อ้อมกอดเงาไม้
เพื่อถ่ายเทความงามสู่โลก
และฝากรอยเท้าคู่นั้นสลับ
เรียงรายราวร่องรอยรักร้าง
ปนเปไปกับดินทราย
สูดแสงจันทร์ยามค่ำแทนอากาศบริสุทธิ์
ละเลียดความฉ่ำบานของกุหลาบไร้กลีบ
ย่ำเท้า ย่ำเท้า
เพื่อให้รอยเท้าคู่นั้น
เป็นความทรงจำที่สถิต
อยู่ในความทรงจำของรอยเท้า
คู่นั้น.

*

"มนุษย์"เขียนดีจนต้องนำขึ้นมาจากข้างล่าง
ขอบคุณค่ะ

28.8.53

จากใต้ร่มตะเบบูญ่า Under the shade of my Pink Trumphet tree
















หลับตา


จากใต้ต้นตะเบบูญ่าที่ปกคลุมด้วยเขียวใบใหม่

ฉันหลับตาใต้ร่มไม้ เพ่งพิศพิจารณานามธรรม

ความไม่มีตัวตนหรือจักหาหน้ากากสวมใส่

ความงามแท้จริงไร้รูปเงา

จำเป็นหรือเปล่าที่เราต้องแสวงหารูปแบบหรือวิธีการรับมือ


ฟ้าแสนกว้างใหญ่ ใหญ่เกินแก้วตาเราหรือ

ท้องฟ้า... เล็กพอสำหรับดวงตาเราไหม

จันทร์ทอดเงาลงในทะเลสาบ

และแอ่งน้ำโสโครกบนถนนมืดมิด

...ไม่ผิดกัน


ความงามที่ถูกมองข้าม

ความยุติธรรมที่ถูกหลงลืม


โลกกว้างใหญ่พลุกพล่านผู้คน

ต่างตนดิ้นรนเพื่อครอบครองสิ่งเคลื่อนไหวได้ และไม่ได้

ฉันมองตะเบบูญ่าโดดเดี่ยวที่ไม่เคยร้องขอสิ่งใด

เพียงพื้นที่ยืนต้นอยู่ตรงนั้น

ให้ปรัชญาสามัญ ผ่านทุกฤดูกาล

ความงดงามเที่ยงแท้และเป็นจริง


บ่อยครั้ง ฉันอาศัยร่มเงาเธอ

หลับตาลงผ่อนพัก เพื่อชมงาม





~






เขียนกับมนุษย์แปลกหน้า "สุดท้ายแค่หยุดพัก"

15.8.53

เธอ ฉัน และบ้าน Home























เสียงฮัมเพลงแผ่ว ๆ แว่วมาให้ได้ยิน ฉันสัมผัสด้วยหัวใจเคยคุ้น
ขณะเพลินมองขบวนยาวเป็นระเบียบของเหล่ามดดื้อ
พวกมันเดินแถวสู่กรวยหวานตะเบบูญ่าที่ร่วงลงคลุมดิน

เสียงฮัมเพลงเงียบไปแล้ว ฉันเงี่ยหูฟัง
คาดหวังเสียงบ่นพึมพำต่อว่าเครื่องพิมพ์ดีดชราภาพ
ผู้รับใช้แสนขี้เกียจแต่ซื่อสัตย์ของคุณ

จากบนเสื่อใต้ร่มตะเบบูญ่า...ฉันนึกเห็นคุณยกถ้วยกาแฟดำขึ้นจิบ
ก่อนก้มหน้าก้มตากดแป้นพิมพ์...
ตัวหนังสือคลี่บานเต็มทุ่งกระดาษแห่งความจริง
ซึ่งก่อนหน้าเป็นได้เพียงดอกไม้ตูมเต่ง ในทุ่งหญ้าแห่งฝันและจินตนาการ
ตัวหนังสือเหล่านั้น ตัวหนังสือที่ฉันรัก

ยามคุณเหลือบแลผ่านหน้าต่างไม้เปิดกว้าง
ใต้ผ้าคลุมบางเบาขาวอมเทาสายหมอก
ฉันที่คุณเห็นอาจสลัวลัวรางเหมือนภาพฝัน
อาจงดงาม...อาจมัวหม่นจนน่าหวั่นหวาด
กระนั้น โดยปราศจากการคาดเดา เราต่างตระหนักถึงรูปนามที่มีแก่นสาร...
และจับต้องได้


สัญญา... จะไม่หนีหายไปไหน
หากไม่บังอาจสัญญาในสิ่งเกินการควบคุม
ไม่ว่าความตาย...หายสูญ...ตกหล่น
หรือด้วยความจำเป็นอื่นใดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
รู้เพียงว่า...จะก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ระมัดระวัง...
ทนุถนอมแต่ละวันนี้ ให้ดีที่สุด
เติมวันให้เต็ม.. ทีละวัน ทีละวัน
จนถึงวันนั้น...

วันนั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

แต่คงขึ้นอยู่กับสิ่งดี ๆ ที่เราทำ


การเดินทางสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง

ตราบคนเดินทางยังคงรื่นรมย์อยู่กับการก้าวเดิน

~

.

.

.

.

21.7.53

รวงรัง The Nest




















ในความหม่นมัวของแสงวัน ท่ามความสว่างของแสงคืน ใครหรืออยู่เคียงข้าง ?
ใครคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ย่อมมิใช่เพียงคนพเนจรเซซังพลัดมา
หากเป็นผู้เลือกและถูกเลือก

ภาพอดีตแจ่มชัด หายลับไปในความฝันเก่า ๆ
อนาคตเล่า ... ลางเลือน

“จับวันนี้ไว้ให้มั่น และใช้มันให้คุ้มค่า” ถ้อยคำในหนังสือเล่มหนึ่งกระซิบบอก
เขาจะสร้างรวงรังและสวนฝันขึ้นมาใหม่ด้วยแรงพลังที่เหลืออยู่
เขาเชื่อเช่นนั้น


1. ตริตรอง

บางครา ฝนไม่โปรยสาย แต่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว
บ่อยครั้งเกินไปในหนึ่งชีวิต
แสงแดดไม่ลูบไล้ หากแผดเผาจนแสบร้อน
จากความอัศจรรย์ใจเหลือเชื่อ แปรเปลี่ยน สู่ความไม่อยากเชื่อ !
สิ่งที่ผ่านเข้ามา เหวี่ยงเราจากสุดขอบหนึ่งไปยังอีกสุดขอบหนึ่ง
ดุจนั่งอยู่บนชิงช้าสูงลิ่วของนักกายกรรม ณ โรงละครสัตว์แห่งการดำรงอยู่
เบื้องล่างปราศจากสิ่งรองรับ
เตรียมพร้อมหรือยังความกล้า ?
พร้อมกระโดดข้ามหุบเหวแห่งความสับสนแห่งยุคสมัยของเราแล้วหรือยัง ?

เราจะกระโดดถึงฝั่งนั่นไหม ?
หรือจะร่วงลงสู่ห้วงลึกของความพลาดหวัง

ศรัทธาของเราอยู่ที่ไหน ?


2. มองยุคสมัย


การต่อสู้ไม่เคยสิ้นสุด
การต่อสู่ในสมรภูมิ เปลี่ยนเป็นการรบแบบกองโจร
กระทั่งการฆ่าหมู่โดยใช้คนติดอาวุธ สังเวยชีพเพื่อแลกเนื้อที่ในสวรรค์
ท่วงท่าของเหล่าอัศวินแปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
ชายคนหนึ่งเดินก้มหน้างุดเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าโลก
ตูม ! ผู้คนล้มฟุบบาดเจ็บ ล้มตาย
ลีลาผงาดบนหลังม้าของผองอัศวิน จารึกอยู่ในประวัติศาตร์ ... เนิ่นนาน
กลายเป็นเทพนิยายคลาสสิคบนแผ่นฟีล์ม
ความจริงในศตวรรษก่อนเก่า ... ก็แค่ฝันไป
ลีลาอัศวินแห่งยุคสมัย บัดนี้คือท่าทีโจรซ่อนเร้น
สงครามอันเป็นที่จดจำ
สมรภูมิโชกเลือดบนแผ่นดิน
กลายเป็นโต๊ะประชุมเปื้อนน้ำลาย
การต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ กลายเป็นการต่อสู้ทำสงครามเศรษฐกิจ
ชายหนุ่มและหญิงสาวแห่งยุคสมัย ว่ายเวียนอยู่ในมหรรณพแห่งความสับสน
ใครเล่าจักกอบกู้ ?
.

3. เส้นทางที่ทอดยาว

เส้นทางทอดยาวไกล
ถนนเลี้ยวลดคดเคี้ยว ดิ่งชันแล้วลาดลง จนไม่เห็นทางข้างหน้า
กระนั้นเรา หนุ่มสาวแห่งยุคสมัย ต่างก้าวเดินต่อไป ... แม้เหนื่อยหนัก
ในมือถือไม้เท้าประคองตัว
ยุคสมัยโทรมทรุด
ศิลปะโทรมทรุด
ระบบนายทุนดำเนินกลยุทธชาญฉลาด
กลืนกินหลากสิ่งดีงาม
ผู้บริโภค ว่ายแหวกอยู่ในมหาชเลแห่งการมอมเมา ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
คนเพียงกระหยิบมือหันหน้าสู้ ปะทะกระแสบ่าทะลักล้นรุนแรง
ล้มลงระเนระนาดเหมือนต้นไม้ในพายุ
เช่นนี้แล้ว วันพรุ่งจักเป็นเช่นใด
.
4. รวงรังของเขา

บ้านหลังนั้น มิได้อยู่บนผืนดินแดงเช่นหลังเก่า
หากปลูกสร้างบนผืนดินสีน้ำตาลเข้มแห่งแดนเหนือ
ผักในสวน ไม้ดอก ไม้ใบดูงามดี
แปลงดอกดาวกระจายข้างทางทอดยาวสู่ตัวบ้าน
เบ่งบานเปล่งประกายเหลืองส้มอยู่ใต้แดดอุ่น
เอนโอนไหวไหวล้อสายลมอ่อนโยน
ทานตะวันกับเฟื่องฟ้าริมรั้ว สนทนากันมิรู้จบ
บัวสายสีชมพูสดแช่น้ำชุ่มสบายในบึงใหญ่
นกน้ำกระโดดไปมาบนใบบัว จับตามองหาปลาเพื่อท้องอิ่ม

ในบ้านน้อยนั้น ... ควันสีขาวจางจากพวยกาอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
สิ่งจับต้องไม่ได้สองสิ่ง ดูคล้ายจับต้องได้เพราะกันและกัน
ไอน้ำ กับ อากาศ
ท่ามความร้อนหนาวแห่งฤดูกาล
เขาคว้าปากกาขึ้นเขียนบทกวีบทใหม่บนกระดาษ
เขียนความขมหวานวันวาน
เขียนความหวังของวันพรุ่ง

ก่อนหน้านี้ ณ ที่แห่งหนึ่งบนโลกใบใหญ่
ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ใครอีกคนเฝ้ารอเวลา
วันที่สองคนเดินทางมาพบกัน
ตระหนักว่า เมื่อวันนั้นมาถึง จะไม่มีสิ่งใดเข้าขัดขวางหรือหยุดได้
วันนี้จึงมีเธออยู่ใกล้ ๆ ชีวิตไม่แล้งไร้เช่นวันก่อน
อุดมสมบูรณ์ รุ่มรวยทั้งทุกข์สุข
และเหลือเฟือ ... เมี่อเพื่อนรักสักคนแวะมาเยี่ยมเยียน


.


.


.
. *แด่หนุ่มสาวแห่งยุคสมัยทุกคน
ผู้เฝ้าตริตรอง มองยุคสมัยอยู่บนเส้นทางยาวไกล
ผู้ไม่หยุดแสวงหา
เพื่อค้นพบรวงรังแท้จริง.*
.
.
.
.
.

27.4.53

ตะเบบูญ่า ( Tabebuia, Pink Trumphet Tree)


ดูโน่นซี... ใต้ร่มเงาตะเบบูญ่า
ท่ามกลางละอองแดดอ่อนและลมโชย
เสื่อผืนใหญ่จัดเตรียมไว้พร้อมหมอนกองโต
ให้คนเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงได้พักผ่อนนอนสักงีบ

ฉันเห็นแววฝันในดวงตาคุณ
คุณฝันทั้งยังตื่น คุณฝันถึงสิ่งใดหรือ....

บทกวีที่ยังไม่ได้เขียน...
ทำนองเพลงหวาน รอวันพรุ่งนี้มาแสนนาน
เรือนไม้หลังน้อยริมธารที่ยังไม่ได้สร้าง

ฤดูหนาวผ่านมา ใบตะเบบูญ่าร่วงหล่นทับถม
เราช่วยกันเก็บกวาดอย่างไม่รู้เหนื่อย
รอวันดอกตูมผลิบานช่อชมพูแสนหวานเต็มต้น

ลมเย็นเดือนธันวาสัมผัสผิวกาย เนื้อตัวลื่นสะอาด
กลีบชมพูตะเบบูญ่า โปรยปรายลงมา... แต่งแต้มร่างเราสอง
เรามองกัน
เรายิ้มให้กัน
.
ในความง่วงงุน กึ่งหลับกึ่งตื่นของฝันกลางวัน
ฉันเอื้อมมือหยิบกระดาษและดินสอในตระกร้าหวาย ส่งให้
คุณรับไปอย่างกระตือรือล้น
ฉันเองก็คว้ากระดาษ ควานหาดินสอ...
เราสบตากัน เราเห็นพ้องต้องกัน
.
บทกวีบทใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างงดงาม
ณ ใต้ร่มตะเบบูญ่าต้นนี้

~
หญิงสาวผู้เฝ้ากวาดลาน





 หญิงสาวผู้เฝ้ากวาดลาน
ตะเบบูญ่าบาน
ขับขานบทเพลงสายลม

ปูเสื่อหัวใจไว้ชม
หอมกลิ่นอารมณ์
ไหวหวานปานเทพนิยาย

ณ ทุ่งดอกไม้ระบาย
สีสรรพ์พรรณราย
เรียบง่าย อบอุ่น อ่อนโยน

ใครกันหวั่นไหวใจโอน
จากผ่านผาดโผน
กวีจักประโลมปลอบใจ

ฉันผู้นั่งซุนฟอนไฟ
กระดาษหน้าใหม่
ดินสอเหลาไว้ให้เธอ

เถิด หากผ่านผันนั้นเพ้อ
ผ่านพบสบเจอ
ละเมอยิ้มฝันนั้นงาม

ฉันผู้ต้อยตามคำถาม
ฝันใฝ่นิยาม
นัยกระจ่างสว่างไสว

เธอผู้นั่งอยู่ข้างใน
ใต้ร่มพันธุ์ไม้
เราไม่คาดคั้นปั้นปึง

ช่องว่างกว้างขวางนั้นจึง
มีเพลงลึกซึ้ง
ขับขาน งันเงียบ งดงาม





(โดย หทัย เขียนร่วม ตะเบบูญ่า)
"ทุกบทกวีมาจากคุณล้วนเป็นของคุณ" (19.12.10)*****

..
.