ต่อจากตอนหนึ่ง"ไซคี ปฐมบท" และตอนสอง "น้ำตาคิวปิด" ข้างล่างนี้ค่ะ
Psyche by William Adolphe Bougureau
คิวปิดรำพึง
นามเรา รักและปรารถนา
นามเธอ ความคิด จิตวิญญาณ
เบื้องโพ้นฟากฟ้า...เรามีวิมาน
เธอ... ณ สถานปราสาทบนดิน
ไซคี หญิงสาวผู้หันหน้าสู่แสงตะวัน
ความสว่างโลมไล้ใบหน้านี้ด้วยจิตปฎิพัทธิ์
แม้แสงตะเกียง แสงเทียนแสงโคมยังคลั่งไคล้
เฝ้าส่องประกายวิบไหว
ด้วยใคร่เห็นวาบวับแห่งนัยนา
ต่อแต่นี้ คราราตรีกาลมาเยือน
เจ้าคงเบือนหน้าหนีความมืดน่าหวาดหวั่น
กระนั้นเจ้าไม่อาจเลี่ยงหนี
กำมะหยี่สีดำแห่งรัตติกาลอ่อนโยน
ในความมืด เจ้าจักรู้จักชายผู้เจ้าไม่อาจรู้จัก
รู้หรือไม่คนงาม
ข้า...โอรสต่ำทรามแห่งเทพมารดาอโพรไดธ์
ยามนี้ท่านแล้งไร้คนบูชาเพราะความงามเจ้า
เฝ้าก่นด่าริษยาอาฆาตเจ้า
ศูนย์กลางใหม่ของความชื่นชมบนแผ่นดิน
มอบหน้าที่ให้แก่ข้า ลูกผู้ทรงไว้วางพระทัย
กำชับหนักหนา จงทำลายเจ้าให้ตกต่ำ
หากข้า .. กลับทรยศ ขัดคำสั่งคลั่งบ้า
ติดตามเจ้ามาด้วยหลงรัก .. ทั้งต้องห้าม
โอ สามโลกโปรดทบทวน
ใครเล่าจักฉีกทึ้งความรู้สึกนี้ไปจากข้าได้
มีไหม !
หญิงสาวผู้นี้ คือดวงมณีที่โลกไม่อาจแตะต้อง
มนุษย์จึงนำเธอมาทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว ณ เชิงเขา
เพื่อเป็นจ้าสาว บรรณาการแด่ทวยเทพผู้ปรารถนา
ข้าจึงนิรมิตปราสาทนี้เพื่อเป็นเรือนหอแห่งเรา
เทพแห่งรักแลปรารถนาต้องร่ำไห้
อัสสุชลหล่นไหลดั่งสายธาร
อัปยศยิ่งนักอีรอส !
สมเพชเวทนาน่าสงสาร
เทพประทานรักระคนขมและหวาน
จักประสบเคราะห์กรรมย้อนบันดาล
ทรมาน ซานซุกถูกจำจอง
มาหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์
ต้องยื้อยุดซ่อนเร้นเป็นเจ้าของ
ที่สุดสายปลายรุ้งคุ้งละออง
ท่ามเมฆหมองม่านดำกระหน่ำภัย
แม้ปราสาทเรือนหออันโอ่อ่า
ล้วนมายาเงาควันเสกสรรไว้
ไม่มี...ไม่จริง...ทุกสิ่งไป
จริงก็เพียงฟอนไฟไอละมุน
หยดน้ำตาหล่นลงบนหญ้าเขียว
เกาะอยู่ปลายโค้งเรียวราวเกี่ยวหนุน
กระทบแสงคล้ายเพชรเกล็ดอรุณ
ทิพย์พิรุณแม้งุนงงจงก้าวตาม
รู้หรือไม่ไซคีมณีโลก
หยดแห่งโศกบ่งทิศอย่าคิดขาม
เถิดอย่าได้พรั่นพรึงถึงนิยาม
จงติดตาม...
อัสสุชล
ที่หล่นวาง
ให้ความรัก..นำทาง..เราไป
*
ตอนสี่ "กล่อมนาง"
*
Psyche by William Adolphe Bougureau
คิวปิดรำพึง
นามเรา รักและปรารถนา
นามเธอ ความคิด จิตวิญญาณ
เบื้องโพ้นฟากฟ้า...เรามีวิมาน
เธอ... ณ สถานปราสาทบนดิน
ไซคี หญิงสาวผู้หันหน้าสู่แสงตะวัน
ความสว่างโลมไล้ใบหน้านี้ด้วยจิตปฎิพัทธิ์
แม้แสงตะเกียง แสงเทียนแสงโคมยังคลั่งไคล้
เฝ้าส่องประกายวิบไหว
ด้วยใคร่เห็นวาบวับแห่งนัยนา
ต่อแต่นี้ คราราตรีกาลมาเยือน
เจ้าคงเบือนหน้าหนีความมืดน่าหวาดหวั่น
กระนั้นเจ้าไม่อาจเลี่ยงหนี
กำมะหยี่สีดำแห่งรัตติกาลอ่อนโยน
ในความมืด เจ้าจักรู้จักชายผู้เจ้าไม่อาจรู้จัก
รู้หรือไม่คนงาม
ข้า...โอรสต่ำทรามแห่งเทพมารดาอโพรไดธ์
ยามนี้ท่านแล้งไร้คนบูชาเพราะความงามเจ้า
เฝ้าก่นด่าริษยาอาฆาตเจ้า
ศูนย์กลางใหม่ของความชื่นชมบนแผ่นดิน
มอบหน้าที่ให้แก่ข้า ลูกผู้ทรงไว้วางพระทัย
กำชับหนักหนา จงทำลายเจ้าให้ตกต่ำ
หากข้า .. กลับทรยศ ขัดคำสั่งคลั่งบ้า
ติดตามเจ้ามาด้วยหลงรัก .. ทั้งต้องห้าม
โอ สามโลกโปรดทบทวน
ใครเล่าจักฉีกทึ้งความรู้สึกนี้ไปจากข้าได้
มีไหม !
หญิงสาวผู้นี้ คือดวงมณีที่โลกไม่อาจแตะต้อง
มนุษย์จึงนำเธอมาทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว ณ เชิงเขา
เพื่อเป็นจ้าสาว บรรณาการแด่ทวยเทพผู้ปรารถนา
ข้าจึงนิรมิตปราสาทนี้เพื่อเป็นเรือนหอแห่งเรา
เทพแห่งรักแลปรารถนาต้องร่ำไห้
อัสสุชลหล่นไหลดั่งสายธาร
อัปยศยิ่งนักอีรอส !
สมเพชเวทนาน่าสงสาร
เทพประทานรักระคนขมและหวาน
จักประสบเคราะห์กรรมย้อนบันดาล
ทรมาน ซานซุกถูกจำจอง
มาหลงรักหญิงสาวชาวมนุษย์
ต้องยื้อยุดซ่อนเร้นเป็นเจ้าของ
ที่สุดสายปลายรุ้งคุ้งละออง
ท่ามเมฆหมองม่านดำกระหน่ำภัย
แม้ปราสาทเรือนหออันโอ่อ่า
ล้วนมายาเงาควันเสกสรรไว้
ไม่มี...ไม่จริง...ทุกสิ่งไป
จริงก็เพียงฟอนไฟไอละมุน
หยดน้ำตาหล่นลงบนหญ้าเขียว
เกาะอยู่ปลายโค้งเรียวราวเกี่ยวหนุน
กระทบแสงคล้ายเพชรเกล็ดอรุณ
ทิพย์พิรุณแม้งุนงงจงก้าวตาม
รู้หรือไม่ไซคีมณีโลก
หยดแห่งโศกบ่งทิศอย่าคิดขาม
เถิดอย่าได้พรั่นพรึงถึงนิยาม
จงติดตาม...
อัสสุชล
ที่หล่นวาง
ให้ความรัก..นำทาง..เราไป
*
ตอนสี่ "กล่อมนาง"
*
ชอบจังเลยค่ะจัส
ตอบลบอ่านอีกกี่ครั้งก็ยังประทับใจเหมือนเดิม
ขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะคะ
บทเดียวเหมือนได้อ่านเป็นสิบหน้า
ตอบลบศศิรู้จักคิวปิดแต่ไม่เคยรู้เรื่องไซคี
จัสเป็นคนเล่าเรื่อง ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของคิวปิดได้ดี
เรื่องดีนะคะ คิวปิดที่แผลงศรให้คนรักกัน เจอซะเอง
คำที่เลือกใช้ก็ต่างจากเคยเนอะคะ
ถูกใจเหมือนบทกวีบทอื่นของจัส
แต่คราวนี้เป็นอีกแบบนึงค่ะ
ศศิว่าเป็นอีกแบบนึง
ตอบลบ^^
ชอบใจค่ะ