นวนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ และ รางวัลเพน/ฟอล์คเนอร์ ปี 1999 โดย ไมเคิล คันนิงแฮม
บทส่งท้าย
เธอเร่งรุดออกจากบ้าน สวมเสื้อโค๊ตหนาหนักเกินความหนาวเย็นของอากาศ
มันเป็นปี ค.ศ. 1441 สงครามครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เธอทิ้งจดหมายสั้น ๆ ไว้ให้เลียวนาร์ด อีกฉบับหนึ่งถึงวาเนสซ่าแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังแม่น้ำ
รู้แก่ใจดีว่าจะไปทำอะไรที่นั่น แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าแทบทำให้เขว
ทุ่งโล่ง โบสถ์ ฝูงแกะที่กระจัดกระจายอยู่ตรงนั้นตรงนี้กระจ่างชัดอยู่ในท้องทุ่งสีเหลืองอมเขียว
พวกมันอิงกันอยู่ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด
เธอถอนหายใจ มองฝูงแกะก่อนเงยหน้ามองฟ้าแล้วออกเดิน
เสียงหึ่ง ๆ ตามมาข้างหลัง
เสียงทิ้งระเบิดลงมาจากท้องฟ้า
แต่พยายามมองหาเครื่องบินเท่าไรก็ไม่พบ
เธอเดินผ่านคนงานในไร่คนหนึ่ง (เขาชื่อจอห์นหรือเปล่านะ)
เขาเป็นผู้ชายแข็งแรง หัวหลิม สวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเหมือนสีเปลือกมันฝรั่ง
กำลังล้างทางน้ำที่ไหลคดเคี้ยวผ่านดงวิลโลว์
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ พยักหน้าทักทายก่อนกลับไปก้มมองน้ำสีน้ำตาล
ในขณะเดินผ่านเขาไปยังริมแม่น้ำ เธอคิดว่าเขาช่างประสบความสำเร็จเสียจริง
ทำไมเขาโชคดีอย่างนี้ที่ได้ล้างทางน้ำในดงวิลโลว์
ส่วนเธอนั้นล้มเหลว
เธอไม่ใช่นักเขียน จริง ๆ แล้วเธอแค่เป็นคนประหลาดที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น
ชิ้นส่วนของท้องฟ้าส่งประกายจากแอ่งน้ำที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนก่อน
รองเท้าจมลงเล็กน้อยบนพื้นดินที่อ่อนนุ่ม
เธอล้มเหลว และเสียงกลับมาอีกแล้ว
เสียงหึ่ง ๆ ที่อธิบายไม่ได้อยู่ไกลเกินจะมองเห็น
มันอยู่ข้างหลัง...ใช่ไหม...มันไปที่อื่นแล้ว
เสียงนั้นกลับมาอีก
ความปวดร้าวแล่นเข้ามาในหัวอย่างแน่วแน่เช่นเดียวกับสายฝน
ความปวดหัวที่จะบีบเธอให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
มันจะเข้ามาแทนที่ตัวเธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรก็ตาม
ความปวดหัวรุกเข้ามาเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอีกแล้ว
(นี่เธอไปเรียกให้มันกลับมาหรืออย่างไร)
เธอมาถึงฝั่งน้ำ ปีนข้ามและไต่ลงไปยังแม่น้ำ
มีคนหาปลาคนหนึ่งอยู่ต้นน้ำไกลออกไป
เขาคงไม่ทันเห็นเธอหรอก หรือจะเห็นนะ
เธอเริ่มหาก้อนหินอย่างรวดเร็ว หาอย่างมีระบบ
ประหนึ่งกำลังปฏิบัติตามวิธีการใดวิธีการหนึ่งอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
เธอเลือกก้อนหินก้อนหนึ่ง มันมีขนาดและรูปร่างเหมือนหัวหมู
เธอยกมันขึ้นแล้วยัดมันลงไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ต รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของก้อนหิน
ในขณะเดียวกันก็เห็นสีน้ำตาลขุ่นมีจุดสีเขียวของมัน
เธอยินติดขอบแม่น้ำใต้ตลิ่ง พื้นดินโคลนส่วนนี้ไม่สม่ำเสมอ
น้ำใสตรงนี้คงมีส่วนผสม ไม่เหมือนน้ำในแม่น้ำที่มีสีเหลืองอมน้ำตาล
มีรอยด่าง ดูแน่นตันคล้ายถนนที่ทอดยาวจากฝั่งสู่ฝั่ง
เธอก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ถอดรองเท้า
น้ำเย็นแต่ยังพอทนไหว
เธอหายใจเข้าลึก ๆ ขณะยืนอยู่ในน้ำเย็นสูงถึงเข่า
นึกถึงเลียวนาร์ด มือของเธอและหนวดเคราของเขา
นึกถึงเส้นลึก ๆ รอบปากของเขา
เธอนึกถึงวาเนสซ่า นึกถึงเด็ก ๆ นึกถึงวีต้าและอีเทล
มีคนให้นึกถึงมากมายเหลือเกิน
พวกเขาทุกคนล้มเหลวหรือมิใช่
ทันใดนั้น ความเสียใจแทนพวกเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง
เธอเห็นภาพตัวเองหันหลังกลับ เอาก้อนหินออกจากกระเป๋าเสื้อโค๊ต
เธอกำลังกลับบ้าน
ยังมีเวลาพอที่จะกลับไปทำลายจดหมายสั้น ๆ ทั้งสองฉบับนั้น
เธอยังมีชีวิตอยู่ ยังสามารถแสดงความเมตตาการุณย์ครั้งสุดท้าย
ในสายน้ำไหล เธอยืนอยู่ในน้ำสูงแค่เข่าและตัดสินใจทำสิ่งตรงข้ามกับที่คิด
เสียงอยู่ที่นี่ อาการปวดหัวคืบคลานเข้ามา
ถ้าเธอกลับไปอยู่ในความดูแลของเลียวนาร์ดและวาเนสซ่า ทั้งสองจะไม่ปล่อยเธอไป
หรือจะปล่อยนะ
เธอตัดสินใจ ยืนยันกับตัวเองว่าทั้งสองจะปล่อยเธอไป
เซซัง ลุยลึกลงไปในน้ำ (ท้องน้ำเหลวเละ) จนน้ำสูงถึงเอว
เธอเหลือบมองคนจับปลาที่ต้นน้ำ เขาสวมแจ๊กเก็ตสีแดงและไม่เห็นเธอ
ผิวน้ำเป็นสีเหลือง (เมื่อมองใกล้ ๆ เป็นสีเหลืองมากกว่าสีน้ำตาล) สะท้อนภาพท้องฟ้าอย่างหม่นมัว
ณ ที่นี้ ในเวลานี้ ในชั่วขณะแห่งการรู้สำนึกอย่างแท้จริง
ผู้ชายหาปลาในแจ๊กเก็ตสีแดงและท้องฟ้าที่มีเมฆสะท้อนลงในสายน้ำขุ่น
เหมือนฝืนใจตัวเอง (เธอรู้สึกเช่นนั้น)
เธอก้าวเท้าหรือไม่ก็สะดุดถลา
ก้อนหินถ่วงเธอลงไป
ในขณะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร
ก็เพียงการพลาดพลั้งอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
แค่น้ำเย็น อยากว่ายกลับเมื่อไรก็ได้
แต่แล้วกระแสน้ำก็ม้วนเข้ามารวบตัวเธอไว้โดยไม่ทันตั้งตัว
พลังแข็งแกร่งนี้ทำให้รู้สึกเหมือนชายคนหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องน้ำแล้วรวบขาทั้งสองของเธอไว้แนบอก
ช่างส่วนตัวเหลือเกิน
The Hours was written by Michael Cunningham in 1998. It won Pulitzer Prize for fiction and Pen/Faulkner Award for fiction in 1999.
Prologue
She hurries from the house, wearing a coat too heavy for the weather. It is 1941. Another war has begun. She has left a note for Leonard, and another for Vanessa. She walks purposefully toward the river, certain of what she‘ll do, but even now she is almost distracted by the sight of the downs, the church, and a scattering of sheep, incandescent, tinged with a faint hint of sulfur, grazing under a darkening sky. She pauses, watching the sheep and the sky, then walks on. The voices murmur behind her; bombers drone in the sky, though she looks for the planes and can‘t see them. She walks past one of the farm workers (is his name John?), a robust, small-headed man wearing a potato-colored vest, cleaning the ditch that runs through the osier bed. He looks up at her, nods, looks down again into the brown water. As she passes him on her way to the river she thinks of how successful he is, how fortunate, to be cleaning a ditch in an osier bed. She herself has failed. She is not a writer at all, really; she is merely a gifted eccentric.
Patches of sky shine in puddles left over from last night‘s rain. Her shoes sink slightly into the soft earth. She has failed, and now the voices are back, muttering indistinctly just beyond the range of her vision, behind her, here, no, turn and they‘ve gone somewhere else. The voices are back and the headache is approaching as surely as rain, the headache that will crush whatever is she and replace her with itself. The headache is approaching and it seems (is she or is she not conjuring them herself?) that the bombers have appeared again in the sky. She reaches the embankment, climbs over and down again to the river. There‘s a fisherman upriver, far away, he won‘t notice her, will he? She begins searching for a stone. She works quickly but methodically, as if she were following a recipe that must be obeyed scrupulously if it‘s to succeed at all. She selects one roughly the size and shape of a pig‘s skull. Even as she lifts it and forces it into one of the pockets of her coat (the fur collar tickles her neck), she can‘t help noticing the stone‘s cold chalkiness and its color, a milky brown with spots of green. She stands close to the edge of the river, which laps against the bank, filling the small irregularities in the mud with clear water that might be a different substance altogether from the yellow-brown, dappled stuff, solid-looking as a road, that extends so steadily from bank to bank. She steps forward. She does not remove her shoes. The water is cold, but not unbearably so. She pauses, standing in cold water up to her knees. She thinks of Leonard. She thinks of his hands and his beard, the deep lines around his mouth. She thinks of Vanessa, of the children, of Vita and Ethel: So many. They have all failed, haven‘t they? She is suddenly, immensely sorry for them. She imagines turning around, taking the stone out of her pocket, going back to the house. She could probably return in time to destroy the notes. She could live on; she could perform that final kindness. Standing knee-deep in the moving water, she decides against it. The voices are here, the headache is coming, and if she restores herself to the care of Leonard and Vanessa they won‘t let her go again, will they? She decides to insist that they let her go. She wades awkwardly (the bottom is mucky) out until she is up to her waist. She glances upriver at the fisherman, who is wearing a red jacket and who does not see her. The yellow surface of the river (more yellow than brown when seen this close) murkily reflects the sky. Here, then, is the last moment of true perception, a man fishing in a red jacket and a cloudy sky reflected on opaque water. Almost involuntarily (it feels involuntary, to her) she steps or stumbles forward, and the stone pulls her in. For a moment, still, it seems like nothing; it seems like another failure; just chill water she can easily swim back out of; but then the current wraps itself around her and takes her with such sudden, muscular force it feels as if a strong man has risen from the bottom, grabbed her legs and held them to his chest. It feels personal.
*
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น