"กวีเป็นเส้นประสาทของจักรวาล"
"พลังของบทกวีก็เหมือนแสงอาทิตย์ หรือถ้าเปรียบเป็นเมฆ มนุษย์ก็ต้องได้รับฝน
ถ้าเป็นดอกไม้ก็ต้องหอมอบอวล
ถ้าเป็นน้ำหวานก็ต้องเป็นน้ำหวานจากผึ้งที่มอบความหวานหอมให้กับชีวิต"
"ผมเขียนบทกวี จะไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ได้อย่างไร
อย่างน้อยมันก็ยกระดับหัวใจมนุษย์ให้ดีขึ้น"
"การวาดรูปกับการแต่งบทกวี ต้องใช้ความคิดกับจินตนาการ
อาจแตกต่างกันทางเทคโนโลยี่กับเทคนิค
แต่ใช้จิตใจดวงเดียวกัน
ทั้งงานเขียนรูปและเขียนหนังสือ ก็ต้องอาศัยมโนคติ
บางคนเขาเรียกอิมเมจิเนชั่น ต้องมีจินตนาการความคิด
เหมือนคนที่สร้างนครวัต เขาต้องมีภาพมาก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะมีปราสาทขึ้นมา
ถ้าเรามีนโนภาพกว้างใหญ่ไพศาล เราก็สามารถที่จะสร้างอะไรใหญ่โตขึ้นมา
ถ้ามีมโนภาพคับแคบก็สร้างสรรค์อะไรอยู่ในกะลาเท่านั้น"
"กวีต้องเป็นกวีอยู่ทุกลมหายใจ
คือโดยหลักจริง ๆ แล้วผมยังเขียนบทกวีอยู่เรื่อย ๆ
จะชำระของที่ดูไม่เรียบร้อยให้เรียบร้อย ให้หมดจดขึ้น มีถ้อยคำที่ลงตัว
คือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราตายไปแล้ว เราก็หมดโอกาสที่จะเปิดฝาโลงขึ้นมาชำระโคลงของเราให้เรียบร้อย
คนที่เขียนกวี ถ้าบทกวีชิ้นใดไม่สมบูรณ์ ก็เหมือนเราไปปรโลกแล้วยังมีห่วงอยู่"
"โดยหลักการ การเขียนกาพย์กลอนต้องโปร่งใส
ต้องใช้อิสระเสรี ถึงจะทำได้ดี
ก็เหมือนทะเล เวลามีคลื่นลมมาก เรือที่ลอยอยู่ก็จมได้
บางครั้งอารมณ์ไม่ดีก็ทำไม่ได้"
"ศิลปินหรือกวีต้องมีอหังการ
ส่วนหนึ่งก็คงจะมิใช่ความคิดเชิงสุนทรีศาสตร์เพียงอย่างเดียว
หากสิ่งแวดล้อมกำหนดให้ศิลปินต้องสื่อความที่หนักแน่น
พูดภาษาชาวบ้านก็คงจะเป็นว่า ถ้าสังคมหลับใหลในเรื่องของสุนทรียภาพ
และในเรื่องของปัญญาความคิด
ศิลปินก็ต้องออกแรงเป็นพิเศษในการที่จะปลุกให้สังคมนี้ตื่นจากภวังค์"
"ชีวิตผมไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ผมเป็นเอกราช
คนส่วนมากในโลกเป็นเมืองขึ้นของเวลา
เจ้านายอยู่ที่ข้อมือ"
"จักรวาลเหมือนคนใบ้
แต่มนุษย์เกิดมา มนุษย์สามารถเป็นภาษาของจักรวาลได้
มนุษย์สามารถเป็นปิยะวาจาที่พูดแทนจักรวาล"
*
"พลังของบทกวีก็เหมือนแสงอาทิตย์ หรือถ้าเปรียบเป็นเมฆ มนุษย์ก็ต้องได้รับฝน
ถ้าเป็นดอกไม้ก็ต้องหอมอบอวล
ถ้าเป็นน้ำหวานก็ต้องเป็นน้ำหวานจากผึ้งที่มอบความหวานหอมให้กับชีวิต"
"ผมเขียนบทกวี จะไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ได้อย่างไร
อย่างน้อยมันก็ยกระดับหัวใจมนุษย์ให้ดีขึ้น"
"การวาดรูปกับการแต่งบทกวี ต้องใช้ความคิดกับจินตนาการ
อาจแตกต่างกันทางเทคโนโลยี่กับเทคนิค
แต่ใช้จิตใจดวงเดียวกัน
ทั้งงานเขียนรูปและเขียนหนังสือ ก็ต้องอาศัยมโนคติ
บางคนเขาเรียกอิมเมจิเนชั่น ต้องมีจินตนาการความคิด
เหมือนคนที่สร้างนครวัต เขาต้องมีภาพมาก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะมีปราสาทขึ้นมา
ถ้าเรามีนโนภาพกว้างใหญ่ไพศาล เราก็สามารถที่จะสร้างอะไรใหญ่โตขึ้นมา
ถ้ามีมโนภาพคับแคบก็สร้างสรรค์อะไรอยู่ในกะลาเท่านั้น"
"กวีต้องเป็นกวีอยู่ทุกลมหายใจ
คือโดยหลักจริง ๆ แล้วผมยังเขียนบทกวีอยู่เรื่อย ๆ
จะชำระของที่ดูไม่เรียบร้อยให้เรียบร้อย ให้หมดจดขึ้น มีถ้อยคำที่ลงตัว
คือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราตายไปแล้ว เราก็หมดโอกาสที่จะเปิดฝาโลงขึ้นมาชำระโคลงของเราให้เรียบร้อย
คนที่เขียนกวี ถ้าบทกวีชิ้นใดไม่สมบูรณ์ ก็เหมือนเราไปปรโลกแล้วยังมีห่วงอยู่"
"โดยหลักการ การเขียนกาพย์กลอนต้องโปร่งใส
ต้องใช้อิสระเสรี ถึงจะทำได้ดี
ก็เหมือนทะเล เวลามีคลื่นลมมาก เรือที่ลอยอยู่ก็จมได้
บางครั้งอารมณ์ไม่ดีก็ทำไม่ได้"
"ศิลปินหรือกวีต้องมีอหังการ
ส่วนหนึ่งก็คงจะมิใช่ความคิดเชิงสุนทรีศาสตร์เพียงอย่างเดียว
หากสิ่งแวดล้อมกำหนดให้ศิลปินต้องสื่อความที่หนักแน่น
พูดภาษาชาวบ้านก็คงจะเป็นว่า ถ้าสังคมหลับใหลในเรื่องของสุนทรียภาพ
และในเรื่องของปัญญาความคิด
ศิลปินก็ต้องออกแรงเป็นพิเศษในการที่จะปลุกให้สังคมนี้ตื่นจากภวังค์"
"ชีวิตผมไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ผมเป็นเอกราช
คนส่วนมากในโลกเป็นเมืองขึ้นของเวลา
เจ้านายอยู่ที่ข้อมือ"
"จักรวาลเหมือนคนใบ้
แต่มนุษย์เกิดมา มนุษย์สามารถเป็นภาษาของจักรวาลได้
มนุษย์สามารถเป็นปิยะวาจาที่พูดแทนจักรวาล"
*