Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


30.5.55

สูงสุดจวบจนจุดสุดท้าย มาร์ค ชากัล 8 Marc Chagall 8: End of Reverie

Cow with Parasol: Chagall,1947

ปี 1946 
เขาพบ เวอร์จิเนียร์ ฮัคคาร์ด แมคนีล สัมพันธภาพนี้เรียกคืนความปรารถนาเต็มเปี่ยมที่จะสร้างสรรค์
ชากัลเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขากลับมาวาดภาพ ทำงานด้วยฝีแปรงและสีสันสดใหม่
จากอเมริกา เขากลับปารีส ในปีนี้เวอร์จิเนียร์ให้กำเนิดเดวิดลูกชาย

ปี 1947
เขาวาดภาพวัวกับร่มกันแดด "Cow with Parasol" และวาดภาพ เทวดาตกสวรรค์ "The Falling Angel"ที่วาดค้างไว้ตั้งแต่ปี 1923จนเสร็จ
ภาพนี้เปรียบเสมือนแถลงการณ์และพัฒนาการทางศิลปะ จากพื้นฐานและการเติบโตของชากัลในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านไป


The Falling Angel: Chagall, 1923-1947

หลังงานแสดงภาพ เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชากัลผู้คุ้นชินกับการอยู่ในเมืองใหญ่
ชอบเข้าสังคม และอยู่ในแวดวงของผู้คนหัวก้าวหน้าที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา 
ถึงเวลานี้เขาปรารถนาที่จะพักอาศัยอย่างเงียบสงบในชนบท

ปี 1950 
เขาย้ายไปอยู่ในเมืองเล็กๆริมฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนของฝรั่งเศส
แต่ขณะที่เขาต้องการผละไป ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังถึงที่สุด

สัมพันธภาพระหว่างเขากับเวอร์จิเนียร์คนรักไปไม่รอด
เธอรับไม่ได้ที่ชากัลเห็นศิลปะสำคัญกว่าเธอ เธอจึงทิ้งเขาไป
หลังจากนั้นเพียงสองสามเดือน ชากัลก็แต่งงานกับ วาเลนติน่า บรอดสกี้ เขาเรียกชื่อที่ตั้งเองว่า วาว่า


Portrait of Vava by Chagall, 1955 

วาเลนติน่าเป็นผู้หญิงฉลาดและเป็นนักผลักดันตัวยง เธอเป็นนักปฎิรูป 
ชากัลเล่าว่า ชีวิตเขาในช่วงนี้"เหมือนติดคุก" แต่เขาก็มีความสุขดี

เขาย้ายไปอยู่เมืองเวนซ์ เมืองเล็กๆที่เงียบสงบอีกเมืองหนึ่ง 
ขากัลมีความทรงจำที่ดีกับเมืองนี้ เขาและเบลล่ากับเอดาลูกสาวเคยมาพักที่นี่ตอนหลบหนีนาซี
ที่นี่วาเลนติน่าเก็บกันชากัลไว้จากโลกภายนอก ทั้งนี้รวมไปถึงเอดาลูกสาว 
จดหมายจากเธอถึงชากัลทุกฉบับต้องผ่านสายตาวาเลนติน่าเพื่อตรวจสอบ

วาเลนติน่าเป็นรัสเซียยิวเหมือนชากัล แต่เธอเปลี่ยนศาสนาเป็นชาวคริสต์ 
เธอต้องการให้เขาเปลี่ยนความเชื่อเช่นเดียวกัน ถึงกับยกเลิกนิตยสารชาวยิวและผลักดันให้เขาออกแบบงานศิลปะกระจกให้โบสถ์และวิหาร
ระหว่างปี 1952-1985 ชากัลออกแบบศิลปะบนกระจกหน้าต่างไว้หลายแห่งในหลายประเทศ


Saint Mark and Saint Matthew, All Saints Church of Tudeley, England


ชากัลขบขันกับความพยายามของวาเลนติน่าที่จะทำให้เขาเป็นคริสตศาสนิกชน เขาไม่ใช่คนเคร่งศาสนาแม้ในลัทธิของเขาเอง
ลัทธิยูดาออทอดอกซ์ห้ามวาดภาพสิ่งมีชีวิต 
ความเชื่อนี้ขัดขวางการทำงานของศิลปินนักวาดเป็นอย่างยิ่ง
ชากัลท้าทายความเชื่อนี้และภรรยาด้วยการสอดแทรกสัญลักษณ์และสิ่งอ้างอิงของลัทธิยูดาในภาพของเขา
  
เช่นในปี 1963 เขาวาดฉากพิธีแต่งงานของชาวยิวบนเพดานโรงละครปารีส
เขายังวาดภาพบนกระจกและจิตรกรรมฝาผนัง ณ สถานที่สาธารณะหลายแห่งในอิสเรล
ชากัลเดินทางมากในช่วงนี้ อย่างน้อยปีละครั้งสองครั้ง 
เขาไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งหลายหน เขาไปกรีก สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมันนี อเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ค อิตาลี
เขาเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติทางศิลปะและอักษรของอเมริกันอคาเดมี่
ปีเดียวกัน เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งกลาสโกว์
ปี 1963 เขาเดินทางไปญี่ปุ่นที่จัดแสดงผลงานเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาสองครั้ง

ปี 1973 
เขาเดินทางกลับรัสเซียบ้านเกิดหลังจากไปในปี 1922
โดยได้รับคำเชิญอย่างเป็นส่วนตัวจากรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
มีงานแสดงภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาที่มอสโคว์
การเชื้อเชิญครั้งนี้มีความลึกลับบางประการ เกิดการคาดเดากันไปทั่ว
ขณะนั้นสงครามเย็นในรัสเซียรุนแรงมาก 
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับผู้นำไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ และแน่นอน ชากัลคัดค้านอย่างชัดเจน 
เหตุใดชากัลถึงได้รับอนุญาตด้วยคำเชิญจากหนึ่งในคณะรัฐบาล
ความลับยังคงเป็นความลับตราบวันนี้
จากปี 1975 จนถึงวาระสุดท้าย ภาพวาดของชากัลไม่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองและสังคมมากนัก เขาเลิกใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ งานช่วงหลังแสดงออกอย่างเรียบง่ายและคมคาย

The Fall of Icarus: Chagall, 1975




The Grand Parade: Chagall, 1979-1980

Couple on Red Background: Chagall, 1983


ช่วงสุดท้าย เขาออกไปพบปะผู้คนน้อยลง เดินทางน้อยลง เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเวนซ์ วาดภาพและออกไปเดินเล่นบ้าง  ในขณะที่ภาพวาดของเขาเดินทางไปทั่วโลก

ปี 1977 เขาได้รับรางวัล แกรนด์ ครอส ออฟ ลีเจียน ออฟ ออนเนอร์


ชากัลสิ้นลมในปี 1985 แม้เขาไม่เคยเปลี่ยนความเชื่อจากลัทธิยูดา 
แต่วาเลนติน่า ภรรยาก็นำร่างไร้ชีวิตของเขาไปฝังไว้ใต้หินสลักรูปกางเขนในสุสานแคธอลิค
เพราะการยืนกรานของเอดา ชากัลลูกสาว พิธีอาลัยตามลัทธิยูดาจึงถูกจัดไว้ท้ายสุดในพิธี


*




 ประวัติชีวิตของมาร์ค ชากัลมีทั้งหมดแปดตอน
ตอนนี้เป็นตอนจบ

21.5.55

จากบ้าน ชากัลในสหรัฐอเมริกา มาร์ค ชากัล 7 Marc Chagall 7: United States

The Three Candles: Chagall 1939-1941 


สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี 1939 เมื่อเยอรมันเคลื่อนทัพเข้าโปแลนด์
ปี 1940 รถถังเยอรมันบุกเข้าฝรั่งเศส
ชากัลอยู่ไม่ติด ต่างจากเพื่อนๆร่วมอาชีพที่เป็นชาวฝรั่งเศส
เขาไม่คิดว่า การเข้ายึดครองครั้งนี้เป็นแนวคิดทางนามธรรม
สำหรับเขาแล้ว การทำงานต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนดินแดนยึดครอง เสี่ยงต่อการถูกจับเข้าค่ายแห่งความตาย

เขาพาเบลล่าภรรยา เอด้าลูกสาว และภาพวาดหนีออกจากฝรั่งเศสไปที่เมืองกอร์เดส์ก่อนกองทัพเยอรมันจะมาถึง
เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดของฝรั่งเศสสมยอม ยื่นข้อเสนอและให้ความร่วมมือต่างๆต่อเยอรมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ชากัลก็ตระหนักว่าอันตรายเข้ามาใกล้ตัวขึ้นทุกที
อันที่จริงเขาถูกจับกุมโดยผู้มีอำนาจ แต่เพราะทางอเมริกากดดัน เขาจึงได้รับการปล่อยตัว


ปี 1941 เขาและครอบครัวเดินทางไปยังมาเซยย์เพื่อโดยสารเรือไปนิวยอร์ค พวกเขาเดินทางถึงนิวยอร์คในวันที่ 23 มิถุนายน 1941
เพียงวันเดียวก่อนกองทัพเยอรมันใช้ยุทธการบาร์บารอสซ่าบุกเข้ารัสเซียบ้านเกิด

ที่สหรัฐฯ ชากัลพักอาศัยอยู่ในเพรสตัน คอนเนคติคัต ไม่ห่างจากตัวเมืองนิวยอร์ค
ต่อมาอีกไม่นาน ทั้งครอบครัวก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง และอยู่ที่นี่ต่อมาอีกห้าปี
ปี 1942 ชากัลเดินทางไปเม็กซิโกช่วงสั้นๆ


 ในฐานะชาวยิวที่เคยอยู่ เคยทำงาน และมีความทรงจำที่ดีต่อเยอรมัน ฝรั่งเศสและรัสเซีย 
สงครามโลกครั้งที่สองส่งผลเฉพาะตัวต่อชากัลอย่างสูง

ความหดหู่ทนทุกข์สะท้อนในงานของเขา 
สีแดงปรากฎขึ้นในช่วงนี้
ภาพ เทียนสามแท่ง (The Three Candles) ในปี 1939-1941
ภาพ ฟังเสียงไก่ (Listening to The Rooster) ในปี 1944
และ ภาพงานแต่งงาน (The Wedding) ในปี 1944


 Listening to the Rooster: Chagall (1944)


The Wedding: Chagall 1944


เกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ชากัลเศร้าโศกอย่างหนักหนาสาหัสที่สดในปี 1944
เบลล่าเจ็บป่วยจากอาการอักเสบเพราะเชื้อไวรัสจนเสียชีวิต
ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาถึงยี่สิบเก้าปี
เธอเป็นแรงบันดาลใจ เป็นจิตวิญญาณที่การุณย์ของเขา


เบลล่าเป็นนักเขียน แม้งานของเธอไม่ได้รับการตีพิมพ์ขณะเธอยังมีชีวิตแต่หลังจากนั้น
หนังสือที่โด่งดังที่สุดคือ เดอะ เบิร์นนิ่ง ไลท์ (The Burning Lights) ที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี 1947
เธอยังแปลหนังสือ มาย ไลฟ์ (My Life) ของชากัลเป็นภาษาฝรั่งเศสอีกด้วย

เป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยเด็กที่ชากัลวางแปรงและขาตั้งภาพ
เขาไม่สามารถทำงานได้เกือบทั้งปีหลังความตายของเธอ


“ความเงียบของเธอเป็นของฉัน ดวงตาเธอ.. ของฉัน 
ประหนึ่งเธอรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับฉัน วัยเด็ก ปัจจุบัน อนาคต คล้ายเธอมองฉันทะลุ” 
มาร์ค ชากัลพูดถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับเบลล่า โรเซนเฟลด์ไว้ในหนังสือ “ชีวิตของฉัน” (My Life)




 *
ติดตามตอนสุดท้ายค่ะ





 

10.5.55

มาร์ค ชากัล 6 เดียวดายในชิงชัง (Solitude, Marc Chagall 6)

"Solitude" by Chagall (1933)

ช่วงเวลาของความสุขสงบที่สุดในชีวิตชากัลสิ้นสุดลง
ความเกลียดชังชาวยิวน่าพรั่นพรึงคืบคลานเข้ามาจากใจกลางยุโรป

ปี 1933 พรรคนาซีขึ้นครองอำนาจในเยอรมันและแพร่กระจายความชิงชังชาวยิว(Antisemitism)อย่างเปิดเผย
เรียกร้องให้กำจัดและขับไล่ชาวยิวจากเยอรมัน
ยุโรปตะวันออกก็เช่นกัน พวกเขาต่อต้านชาวยิวมาแต่ไหนแต่ไรในประวัติศาสตร์ ซึ่งมักเข้มข้นรุนแรงขึ้นทุกสองสามทศวรรษก่อนเงียบหายไปเพื่อจะย้อนกลับมาอีก

ในฐานะที่ชากัลเป็นชาวยิวคนหนึ่งในยุโรปตะวันออก เช่นเพื่อนๆและครอบครัวที่อยู่อาศัยในประเทศเหล่านั้น พวกเขารู้สึกถึงการต่อต้านยิวอย่างรุนแรง

ปี 1934 ในกรุงวอร์ซอร์ ออสเตรีย
ขณะเดินอยู่บนท้องถนน ชากัลเห็นเพื่อนชาวยิวถูกดูหมินเหยียดหยามเพราะความเชื่อทางศาสนา

ปี 1937 ภาพวาดจำนวน 59 ภาพที่อยู่ในเยอรมันถูกนำออกแสดงในฐานะภาพแห่งความเสื่อมถอย (Degenerate Art)

ชากัลสนองตอบต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยการพยายามเชื่อมต่อความขัดแย้งระหว่างสองศาสนา คือลัทธิยูดาและคริสต์ศาสนาผ่านงานศิลป์ของเขา

ภาพวาด"เดียวดาย" (Solitude) ในปี 1933 บ่งบอกความโศกระทมและความเจ็บปวดของชาวยิวท่ามกลางพายุมืดหม่นและเทพแห่งสันติภาพกำลังบินจากไป


ภาพการปฎิวัติ (The Revolution) ในปี 1937 ประนามการปฎิวัติบอลเชวิค
ภาพของผู้คนที่มีอาวุธพร้อมมือในเสื้อผ้าหยาบกระด้างสกปรกเดินแถวผ่านแผ่นผ้าใบในขณะที่คนอีกกลุ่มผ่อนคลายอย่างเงียบสงบและเพลิดเพลินอยู่กับชีวิต
พวกปฏิวัติเหยียบย่ำลงบนคนบาดเจ็บและคนตายขณะก้าวเท้าไปข้างหน้า
ตรงกลางภาพ เขาวาดเลนินทรงตัวอยู่บนมือหนึ่งและใช้อีกมือหนึ่งบงการ



The Revolution by Chagall (1937)


ปี 1938 ชากัลวาดงานชิ้นเยี่ยมแห่งชีวิต ภาพ กางเขนขาว (White Crucifixion)
ตรงกลางภาพ พระเยซูถูกตรึงอยู่บนกางเขน รอบพระองค์เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว เพื่อย้ำว่ารกรากของพระองค์มาจากลัทธิยูดา
มีพรรคคอมมิวนิสต์และนาซีอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของภาพวาด ไล่ล่าชาวยิวและทำลายบ้านเรือนของพวกเขา
ที่ปลายกางเขนชาวยิวหนีตายไปทุกทิศ



White Crucifixion by Chagall (1938)

ภาพกางเขนขาวของชากัล และ ภาพ Guernica ของพาโบล ปิคัสโซ่ เป็นงานศิลป์ที่แสดงออกถึงการต่อต้าน ประนามสงครามและความชิงชังที่โดดเด่นที่สุดแห่งศตวรรษที่ยี่สิบ

ช่วงปีระหว่างนี้ชากัลเดินทางมาก เขาไปร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์ที่เทลาวีฟ ในเขตปาเลสไตน์ของอังกฤษ
เขาเดินทางไปซีเรียและอียิปต์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในขณะนั้น
เขาไปฮอลแลนด์และได้ชมผลงานของเร็มแบรนด์ทเป็นครั้งแรก
และภาพวาดโดยเอล เกรโกในสเปน
งานของศิลปินทั้งสองส่งผลต่อชากัลอย่างผิวเผิน
เขาไปสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และโปแลนด์
ทั้งยังเดินทางทั่วฝรั่งเศส
การเดินทางทั้งหมดนี้ไม่ได้สะท้อนลงในภาพวาดของชากัล

ทุกชั่วขณะบนเส้นทางศิลปะ
ภาพวาดของเขาก่อเกิดและแตกกิ่งก้านสาขามาจากความคิดและการสร้างสรรค์โดยจินตนาการ


*
ติดตามตอนต่อไป


Thanks to Olga's Gallery

3.5.55

จากเบอร์ลินสู่ปารีส มาร์ค ชากัล 5 (Chagall 5:From Berlin to Paris)

Peasant Life:Chagall 1925


เราคงจำกันได้ ก่อนชากัลกลับไปเยี่ยมครอบครัวและคนรักที่บ้านเกิด เขาได้ทิ้งภาพเขียนจำนวน 150 ภาพไว้กับ เฮอร์วาร์ธ วาลเด็น (Herwarth Walden) ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการนิตยสารพายุ Der Sturm
สงครามทำให้เขาติดอยู่ในรัสเซียโดยไม่รู้เลยว่าความสำเร็จได้มาถึงในที่สุด
งานแสดงภาพของเขาจัดโดยวอลเดน ขายได้ทั้งหมด
ชากัลไม่รู้เลยว่า ชื่อของเขาเป็นชื่อทำเงินไปแล้วในยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะในเยอรมันและฝรั่งเศส
และงานของเขาได้ส่งอิทธิพลต่อการปรากฏของศิลปะแนวใหม่คือ ดาดาอิสม์ (Dadaism) และ เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)


ชากัลออกมาจากรัสเซียในสภาพที่แทบไม่มีเงินติดตัว ทั้งยังมีครอบครัวต้องดูแล
ดังนั้นเงินจึงมีความหมายต่อเขามาก
วอลเดนเองไม่เคยลืมชากัล เขาเก็บกันเงินของชากัลไว้ต่างหาก
แต่ภาวะเงินเฟ้อในช่วงสงครามโลกทำให้ค่าของเงินหดหาย
ชากัลไม่ฟังคำอธิบายของวอลเดน เขาฟ้องร้องต่อศาล
ในที่สุด วอลเด็นจำต้องตามล่าภาพบางภาพแล้วซื้อคืนเพื่อชดเชยชากัล


The Watering Through (Chagall's: 1925)


หลังจากนั้นชีวิตของชากัลก็สะดวกสบายขึ้น เขาเขียนอัตตประวัติชีวิตที่เริ่มไว้ในรัสเซียจนจบ
"ชีวิตของฉัน" รวมมุมมองและทฤษฎีทางศิลปะของเขาไว้ด้วย
เช่นเคย เขารุกเข้าประชิดศิลปะอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่วิเคราะห์ศิลป์


 ชากัลเขียน"ชีวิตของฉัน"เป็นภาษารัสเซีย ตีพิมพ์ในภาษารัสเซียโดย พอล แคสสิเรอร์ ผู้ค้าขายงานศิลป์และบรรณาธิการ
หลังจากนั้นอีกเก้าปี(1931)จึงได้พิมพ์ครั้งที่สองเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลโดย เบลล่า ภรรยา


Bella in Mourlillon (Chagall's:1927) 

 
จากเบอร์ลิน ชากัลเขียนจดหมายถึงคนรู้จักในปารีสเพื่อหางาน เขาได้งานเขียนหนังสือ The Dead Soul ของ นิโคไล โกกอล (Nicolai Gogol) เขาจึงออกเดินทางไปปารีส



ปีต่อๆมาสงบงามและร่ำรวย ชากัลพูดถึงปีเหล่านี้ว่าเป็นช่วงเวลาดีที่สุดในชีวิต
 ความสุขสบายสะท้อนออกมาในศิลปะของเขา สีมัวหม่น เศร้าสร้อยและถูกจำกัดที่เคยปรากฏในงานช่วงต้นหายไปจนเกือบหมด งานในช่วงนี้รื่นไหลและสงบนิ่ง
การเปลี่ยนแปลงจากงานดั้งเดิมเช่นนี้ ถ้าเกิดกับศิลปินคนอื่นๆ ก็เปรียบได้กับหายนะ 
แต่โดยฝีแปรงของชากัลแล้ว ภาพวาดในช่วงปี 1920 ยังคงเป็นเอ็กซเพรสชั่นเช่นผลงานในช่วงปี 1910


Fruits and Flowers (Chagall's: 1929)


มีงานแสดงภาพหลายครั้ง รวมทั้งงานใหญ่ที่รวมภาพผลงานเก่าๆของศิลปินในปี 1924
และในปี 1927 เขาได้แสดงภาพเดี่ยวที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา



Lovers in the Lilacs (Chagall's: 1931)


ชากัลรู้หรือไม่ว่าความสงบงามในชีวิตกำลังจะสิ้นสุดลง


*
ติดตามตอนต่อไปค่ะ

Thanks to Olga's Gallery