Cow with Parasol: Chagall,1947 |
ปี 1946
เขาพบ เวอร์จิเนียร์ ฮัคคาร์ด แมคนีล สัมพันธภาพนี้เรียกคืนความปรารถนาเต็มเปี่ยมที่จะสร้างสรรค์
ชากัลเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขากลับมาวาดภาพ ทำงานด้วยฝีแปรงและสีสันสดใหม่
จากอเมริกา เขากลับปารีส ในปีนี้เวอร์จิเนียร์ให้กำเนิดเดวิดลูกชาย
ปี 1947
เขาวาดภาพวัวกับร่มกันแดด "Cow with Parasol" และวาดภาพ เทวดาตกสวรรค์ "The Falling Angel"ที่วาดค้างไว้ตั้งแต่ปี 1923จนเสร็จ
ภาพนี้เปรียบเสมือนแถลงการณ์และพัฒนาการทางศิลปะ จากพื้นฐานและการเติบโตของชากัลในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านไป
The Falling Angel: Chagall, 1923-1947 |
หลังงานแสดงภาพ เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชากัลผู้คุ้นชินกับการอยู่ในเมืองใหญ่
ชอบเข้าสังคม และอยู่ในแวดวงของผู้คนหัวก้าวหน้าที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ชอบเข้าสังคม และอยู่ในแวดวงของผู้คนหัวก้าวหน้าที่แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ถึงเวลานี้เขาปรารถนาที่จะพักอาศัยอย่างเงียบสงบในชนบท
ปี 1950
เขาย้ายไปอยู่ในเมืองเล็กๆริมฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนของฝรั่งเศส
แต่ขณะที่เขาต้องการผละไป ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังถึงที่สุด
สัมพันธภาพระหว่างเขากับเวอร์จิเนียร์คนรักไปไม่รอด
เธอรับไม่ได้ที่ชากัลเห็นศิลปะสำคัญกว่าเธอ เธอจึงทิ้งเขาไป
หลังจากนั้นเพียงสองสามเดือน ชากัลก็แต่งงานกับ วาเลนติน่า บรอดสกี้ เขาเรียกชื่อที่ตั้งเองว่า วาว่า
Portrait of Vava by Chagall, 1955
วาเลนติน่าเป็นผู้หญิงฉลาดและเป็นนักผลักดันตัวยง เธอเป็นนักปฎิรูป
ชากัลเล่าว่า ชีวิตเขาในช่วงนี้"เหมือนติดคุก" แต่เขาก็มีความสุขดี
เขาย้ายไปอยู่เมืองเวนซ์ เมืองเล็กๆที่เงียบสงบอีกเมืองหนึ่ง
ขากัลมีความทรงจำที่ดีกับเมืองนี้ เขาและเบลล่ากับเอดาลูกสาวเคยมาพักที่นี่ตอนหลบหนีนาซี
ที่นี่วาเลนติน่าเก็บกันชากัลไว้จากโลกภายนอก ทั้งนี้รวมไปถึงเอดาลูกสาว
จดหมายจากเธอถึงชากัลทุกฉบับต้องผ่านสายตาวาเลนติน่าเพื่อตรวจสอบ
วาเลนติน่าเป็นรัสเซียยิวเหมือนชากัล แต่เธอเปลี่ยนศาสนาเป็นชาวคริสต์
เธอต้องการให้เขาเปลี่ยนความเชื่อเช่นเดียวกัน ถึงกับยกเลิกนิตยสารชาวยิวและผลักดันให้เขาออกแบบงานศิลปะกระจกให้โบสถ์และวิหาร
ระหว่างปี 1952-1985 ชากัลออกแบบศิลปะบนกระจกหน้าต่างไว้หลายแห่งในหลายประเทศ
Saint Mark and Saint Matthew, All Saints Church of Tudeley, England |
ชากัลขบขันกับความพยายามของวาเลนติน่าที่จะทำให้เขาเป็นคริสตศาสนิกชน เขาไม่ใช่คนเคร่งศาสนาแม้ในลัทธิของเขาเอง
ลัทธิยูดาออทอดอกซ์ห้ามวาดภาพสิ่งมีชีวิต
ความเชื่อนี้ขัดขวางการทำงานของศิลปินนักวาดเป็นอย่างยิ่ง
ชากัลท้าทายความเชื่อนี้และภรรยาด้วยการสอดแทรกสัญลักษณ์และสิ่งอ้างอิงของลัทธิยูดาในภาพของเขา
เช่นในปี 1963 เขาวาดฉากพิธีแต่งงานของชาวยิวบนเพดานโรงละครปารีส
เขายังวาดภาพบนกระจกและจิตรกรรมฝาผนัง ณ สถานที่สาธารณะหลายแห่งในอิสเรล
ชากัลเดินทางมากในช่วงนี้ อย่างน้อยปีละครั้งสองครั้ง
เขาไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งหลายหน เขาไปกรีก สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมันนี อเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ค อิตาลี
เขาเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติทางศิลปะและอักษรของอเมริกันอคาเดมี่
ปีเดียวกัน เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งกลาสโกว์
ปี 1963 เขาเดินทางไปญี่ปุ่นที่จัดแสดงผลงานเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาสองครั้ง
ปี 1973
เขาเดินทางกลับรัสเซียบ้านเกิดหลังจากไปในปี 1922
โดยได้รับคำเชิญอย่างเป็นส่วนตัวจากรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
มีงานแสดงภาพเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาที่มอสโคว์
การเชื้อเชิญครั้งนี้มีความลึกลับบางประการ เกิดการคาดเดากันไปทั่ว
ขณะนั้นสงครามเย็นในรัสเซียรุนแรงมาก
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับผู้นำไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ และแน่นอน ชากัลคัดค้านอย่างชัดเจน
เหตุใดชากัลถึงได้รับอนุญาตด้วยคำเชิญจากหนึ่งในคณะรัฐบาล
ความลับยังคงเป็นความลับตราบวันนี้
จากปี 1975 จนถึงวาระสุดท้าย ภาพวาดของชากัลไม่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองและสังคมมากนัก เขาเลิกใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ งานช่วงหลังแสดงออกอย่างเรียบง่ายและคมคาย
The Fall of Icarus: Chagall, 1975 |
The Grand Parade: Chagall, 1979-1980
Couple on Red Background: Chagall, 1983 |
ช่วงสุดท้าย เขาออกไปพบปะผู้คนน้อยลง เดินทางน้อยลง เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเวนซ์ วาดภาพและออกไปเดินเล่นบ้าง ในขณะที่ภาพวาดของเขาเดินทางไปทั่วโลก
ปี 1977 เขาได้รับรางวัล แกรนด์ ครอส ออฟ ลีเจียน ออฟ ออนเนอร์
ชากัลสิ้นลมในปี 1985 แม้เขาไม่เคยเปลี่ยนความเชื่อจากลัทธิยูดา
แต่วาเลนติน่า ภรรยาก็นำร่างไร้ชีวิตของเขาไปฝังไว้ใต้หินสลักรูปกางเขนในสุสานแคธอลิค
เพราะการยืนกรานของเอดา ชากัลลูกสาว พิธีอาลัยตามลัทธิยูดาจึงถูกจัดไว้ท้ายสุดในพิธี
*
ประวัติชีวิตของมาร์ค ชากัลมีทั้งหมดแปดตอน