Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


25.4.55

สงคราม การปฎิวัติบอลเชวิค และการแต่งงาน มาร์ค ชากัล 4 (Marc Chagall 4; War and Revolution)


Promenade by Marc Chagall (1917)

ชากัลติดอยู่ในรัสเซียถึงแปดปีระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาพูดถึงช่วงเวลานี้เสมอว่าเป็นการถอยหลังในอาชีพจิตรกร โดยเมินเฉยต่อความเป็นจริงที่ว่าช่วงเวลานี้เขาได้พัฒนาไปมากทั้งด้านศิลปะและชีวิตส่วนตัว

ในปี 1914 มีไม่กี่คนเท่านั้นที่คาดว่าสงครามจะยืดเยื้อ 
คนส่วนใหญ่มั่นใจว่าสงครามครั้งนี้จะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ชากัลตั้งใจมุ่งมั่นว่าจะไม่ยอมเป็นทหารในกองทัพรัสเซีย 
อพอลลิแนร์ เพื่อนสนิทลงชื่ออาสาออกสู่แนวหน้าตั้งแต่วันแรกของการขัดแย้ง แต่ชากัลไม่ได้มีความรู้สึกร่วมเยี่ยงผู้รักชาติด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนัก 
หลายร้อยปีมาแล้วที่จักรวรรดิ์รัสเซียปฎิบัติต่อชาวยิวเยี่ยงพลเมืองชั้นสอง และเลวร้ายลงมากในศตวรรษที่สิบเก้าและยี่สิบ 
เขาเห็นว่าการจับอาวุธเพื่อสนับสนุนอาณาจักรนี้เป็นเรื่องบ้า คนมีร่างกายบอบบาง มีมรรยาททางสังคมและการศึกษากว้างขวางอย่างเขาไม่ได้ถูกสร้างมาให้ใช้ชีวิตสมบุกสมบันในการรบ
คนยิวไม่อาจเป็นผู้บังคับการ และต้องยินยอมพร้อมรับการถูกปฎิบัติต่ออย่างเลวร้ายและถูกแบ่งแยกจากเพื่อนทหารและผู้บังคับบัญชา

ชากัลอาศัยอยู่ในเมืองวิทเอ็บสค์และหวังว่าสงครามจะผ่านไป

 ในปี 1915 เขาแต่งงานกับเบลล่า โรเซ็นฟีลด์แม้พ่อแม่ผู้มีฐานะของเธอต่อต้าน สัมพันธภาพได้รับการสมานฉันท์หลังการเกิดของเอ
ดาลูกสาว

Bella with white collar (เขาวาดเบลล่าตัวใหญ่ ส่วนเขาตัวเล็กนิดเดียว เห็นแล้วรับสารได้ชัดเจน)

งานศิลป์ที่ออกมาในช่วงนี้เป็นแบบคิวบิสท์และเอ็กเพรสชั่นนิสท์

สงครามยืดยาวออกไปเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตสูงขึ้นมาก 
ในปี 1915 ยาคอฟ โรเซ็นเฟลด์พี่เขยหางานเสมียนให้ทำที่กระทรวงสงครามในเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กซึ่งทำให้เขาพ้นจากการเป็นทหาร 


เมืองหลวงไม่เอื้อต่อการสร้างงานศิลป์ 
ในช่วงขาดแรงบันดาลใจและต้องทำงานประจำวุ่นวายน่าเบื่อหน่ายนี้ เขาวาดภาพน้อยลง  
แต่ในช่วงนี้เองที่เขาได้ติดตามการพัฒนาทางศิลปะในรัสเซีย ได้คุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของพรีมีทิวิสม์และทดลองในภาพ
The Feast at the Tabernacle (1916) 



กระนั้นเขาปฎิเสธแนวทางนี้เพราะขัดกับแนวคิดทางศิลปะของเขา

ในปี 1917 เกิดการปฎิวัติบอลเชวิคในรัสเซีย ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในหมู่ชาวยิวที่มีการศึกษา
พวกเขาเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งระบบการเมืองใหม่
 พรรคคอมมิวนิสต์ยืนยันว่า ชาวยิวจะมีสถานะเท่าเทียมภายใต้กฏหมายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย 
อนาคตดูสดใส มั่งคั่งและไร้ซึ่งความกังวล



ภายใต่รัฐบาลใหม่ อนาโทลีย์ ลูนาชาร์สกี้ นักวิจารณ์ศิลปะและนักหนังสือพิมพ์ที่ชากัลสนิทสนมในปารีส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยงานการศึกษาที่ทำให้เขารับผิดชอบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับศิลปะ การศึกษาและวัฒนธรรมในสหราชอาณาจักรรัสเซีย 
ลูนาชาร์สกี้เสนอตำแหน่งผู้ดูแลศิลปะในวิทเอ็บสค์ ซึ่งชากัลตอบรับด้วยความยินดี
ชากัลไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ 
ภาพวาดของเขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมือง หากเน้นชีวิตวันต่อวันอย่างเคร่งครัด 
เราจึงไม่อาจรู้ว่าเพราะเหตุใด ลูนาชาร์สกี้ถึงได้เลือกชากัล

ปี 1918 ชากัลกลับวิทเอ็บสค์ในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 
เขาจัดการแสดงภาพ เปิดพิพิธภัณฑ์และห้องแสดงภาพ 

เยฮูดา เพน ครูวาดเขียนคนแรกของชากัล ได้เปลี่ยนโรงเรียนของเขาเป็น”สำนักแห่งศิลปะ”โดยมีชากัลเป็นผู้อำนวยการ 
ต่อมาศิลปินผู้ป็นที่ยอมรับก็เริ่มเข้ามาสอนเพราะนับถือยูริ เพนและชากัล 
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือในเวลานั้นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกำลังแร้นแค้นขาดอาหาร ไม่มั่นคงเท่าวิทเอ็บสค์

ต่อมาสำนักศิลปะแห่งวิทเอ็บสค์นี้กลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะที่ทรงอิทธิพลในรัสเซียและอาจพูดได้ว่าของโลก



ที่จริงแล้ว ชากัลใส่ใจและสนใจทำงานศิลปะของเขามากกว่าจัดการเรื่องการศึกษาและทฤษฎีทางศิลปะ 
ศิลปินลัทธิซุพรีมเมซิสท์(Supremacist) ใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อส่งเสริมและกำหนดแนวทางของพวกเขาที่สำนักศิลปะที่ก่อตั้งโดยยูริ เพน
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่งผลให้ชากัลลาออกในปี 1920 แล้วเดินทางไปมอสโคว์กับครอบครัว

ถึงแม้ว่าแนวทางซุพรีมเมทิสท์ส่งอิทธิพลต่อชากัลเช่นในภาพวาดสองภาพข้างล่าง

 
The Stable Night: A Man with whip (1917)

และ

Composition with circles and goat (1920) 
แต่เขาก็ไม่โอบรับทฤษฎีนี้ที่เป็นนามธรรมเต็มรูปแบบ 
งานของชากัลมีพื้นฐานจากความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเขาจะใช้แนวทางใดในการวาด

 เขาหันมาสนใจศิลปะเรแนสซองซ์ที่เขาเขียนอ้างอิงถึงบ่อยๆ
จัดองค์ประกอบภาพตามธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเขา แต่ไม่ใช้ธรรมเนียมปฎิบัติทางวิธีการและสัญลักษณ์
อย่างภาพ Promenade (1917) ข้างบนสุด


ชากัลอยู่อย่างลำบากในมอสโคว์ เขาไม่มีตำแหน่งใด และเมื่องานของเขาไม่ได้ส่งสารเกี่ยวกับการเมือง เขาจึงไม่มีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล ชากัลจึงไปทำงานกับโรงละครของชาวยิว Gosudarstvenniy Evreiskiy Kamerniy Teatr
เขาออกแบบตกแต่งเวที วาดฉาก และสอนวาดเขียนที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า 

ปีแรกหลังการปฏิวัติ ผู้มีอำนาจของรัสเซียค่อนข้างให้เสรีทางศิลปะ ด้วยเห็นว่าศิลปะคือการให้ความสว่างทางปัญญาและเป็นหนทางโฆษณาชวนเชื่อ  แต่ไม่ช้าศิลปินก็ถูกขอให้วาดตามความคิดของพรรค งานสร้างสรรค์อย่างอิสระของชากัลจึงหลุดออกจากระบบใหม่โดยสิ้นเชิง

เลนินประนามศิลปะสมัยใหม่ทุกประเภทว่าคนธรรมดาเข้าไม่ถึง 
โซเชียล เรียลลิสม์ (Social Realism) ถูกกำหนดให้เป็นรูปแบบของสาธารณรัฐ ทำให้โลกทางศิลปะของศิลปินรัสเซียถูกตีกรอบ
คับแคบสำหรับชากัลและเพื่อนศิลปินแบบซุปรีมเมทิสท์และพรีมิทิวิสท์

ปี 1922 ชากัลยื่นขออนุญาตออกนอกประเทศผ่านลูนาซินสกี้ 
เขาได้รับอนุญาตและเดินทางไปเบอร์ลิน โดยหวังจะได้พบเฮอร์วาร์ด วอลเดน
เขาอยากรู้ว่าถาพวาดที่ออกแสดงเป็นอย่างไร 
ต่อจากนั้นอีกเกือบห้าสิบเอ็ดปี เขาจึงได้กลับรัสเซีย



*

ติดตามตอนต่อไปค่ะ


*


18.4.55

ปารีส ประวัติชีวิตมาร์ค ชากัลตอน 3 (Paris, Marc Chagall 3)


"The Poet" by Marc Chagall 1911
ภาพวาดของกวี

“ความเงียบของเธอเป็นของฉัน ดวงตาเธอ ของฉัน 
ประหนึ่งเธอรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับฉัน วัยเด็ก ปัจจุบัน อนาคต คล้ายเธอมองฉันทะลุ” 
มาร์ค ชากัลพูดถึงการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับเบลล่า โรเซนเฟลด์ไว้ในหนังสือ “ชีวิตของฉัน” (My Life)

แต่ขณะนั้น เขาไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้ เธอยังเด็กอายุแค่สิบสี่ ส่วนเขายังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงเดินทางกลับเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก

ชากัลต้องการเดินทางไปปารีส เหล่าเพื่อนและครูต่างสนับสนุนและให้คำแนะนำ 
ปี 1910 
แมกซิม วินนาเวอร์ Maxim Winawer ทนายความลูกครึ่งรัสเชียนยิวก็ตกลงสนับสนุนทางการเงินให้นักวาดหนุ่มเดินทางไปยังเมืองหลวงของฝรั่งเศส 



ชากัลยอมรับว่าเมื่อไปถึงปารีส เขาอยากหันหลังกลับรัสเซีย 
ปารีสพลุกพล่านและรวดเร็วเกินไปสำหรับเขาผู้มาจากเมืองวิทเอ็บสค์ที่เงียบสงบ 
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น 
โชคดีที่มีนักวาดชาวรัสเซียเป็นเพื่อน ชากัลได้รับใบอนุญาตให้ศึกษาศิลปะในหอแสดงศิลปะและพิพิธภัณฑ์ 
ชากัลเล่าว่า งานของศิลปินยิ่งใหญ่ที่แสดงอยู่ที่ลูฟว์ส่งอิทธิพลต่อเขา และฉุดรั้งเขาไว้


เขาเริ่มทำความสนิทสนมกับ พลาโบ ปิคัสโซ่ และ จอร์จ บราก 
ทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการพัฒนาศิลปะแบบคิวบิสม์ (Cubism
เขายังคบหากับคนอื่นๆด้วยทั้งนักวาดและนักเขียน 
เขาศึกษาการเคลื่อนไหวและนวัตกรรมทางศิลปะย้อนหลังไปหกสิบปี 
เริ่มต้นด้วยงานอิมเพรสชั่นนิสท์ที่แสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าความเสมือนจริง
รวมถึงงานแบบพอยทิลิสท์ (Pointillism) ที่ใช้เทคนิคระบายสีเป็นจุดๆเพื่อให้เกิดการผสมสีทางสายตา

มาร์ค ชากัลนิยมชมชื่นฝีแปรงที่กล้าหาญและแปลกแยกของวินเซนต์ แวน โก๊ะห์ เป็นอย่างยิ่ง



The Noon Rest by Vincent van Gogh (Impressionism)


งานแบบ Fauves เป็นภาพวาดสองมิติที่ไม่มีความลึก ภาพสร้างความสมดุลระหว่างเส้นกับสี Fauves แปลว่าสัตว์ร้าย ริเริ่มโดยมาติสต์ผู้เป็นทั้งมิตรและคู่แข่งของปิคาสโซ่ งานของทั้งสองถูกเปรียบเทียบกันเสมอ 
(หมายเหตุ มาติสต์คนนี้เป็นศิษย์ของ วิลเลียม อดอฟ บูเกอโร ผู้วาดภาพไซคีและอีรอส ภาพประกอบในไซคี***)



Matisse (Fauve) 1912


ชากัลศึกษาการวาดภาพแบบคิวบิสม์(Cubism) ที่ริเริ่มโดยปิคัสโซ่และบราก 
การวาดที่ลดและแบ่งส่วนของรูปแบบตามธรรมชาติเป็นนามธรรม บ่อยครั้งที่ออกมาเป็นภาพเรขาคณิต หรือแอ็บสแตร็คท์ที่มักเป็นรูปทรงเรขาคณิต 
ปกติจะเป็นชุดของภาพราบสองมิติที่ต่อนื่องกันและแยกออกจากกัน



"Tete D'une Femme Lisant" by Pablo Picasso (1912)



อิทธิพลของศิลปะแบบคิวบิสต์ปรากฎชัดเจนในภาพวาด ฉันและหมู่บ้าน (I and the village 1911) กวี (The Poet 1911) และ อดัมและอีฟ (Adam and Eve 1912)


Adam and Eve by Marc Chagall (1912)


ชากัลพบว่า ระบบ วิธีการและการวิเคราะห์อย่างวิทยาศาสตร์ของอิมเพรสชั่นนิสม์และคิวบิสม์ไม่เหมาะกับเขา 
เขาจึงเข้าสู่การวาดที่ผสมผสานการวาดแบบอิมเพรสชั่นนิสม์และซิมโบลลิสม์ (Symbolism) ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อการถ่ายทอดเข้าด้วยกัน
อพอลิแนร์ Apollinaire เพื่อนสนิทเรียกว่าศิลปะแบบ”เหนือจริง” (Surreal)  
 ต่อมาการเคลื่อนไหวของลัทธิเหนือจริงจึงถูกเรียกว่าเซอร์เรียลลิสท์ (Surrealism) ซึ่งมาจากคำของอพอลิแนร์เพื่อนสนิทของเขานี่เอง  

งานเซอร์เรียลลิสท์มีชากัลเป็นผู้ส่งอิทธิพลหลัก แม้เขาจะไม่เคยเป็นจิตรกรแบบเหนือจริงโดยตรงเลยก็ตาม


ภาพวาดของเขาในช่วงเวลานี้มาจากชีวิตประจำวันที่เขาใช้ส่งสารทางปรัชญาและจริยธรรม 
สำหรับฝรั่งเศสแล้วงานของเขาถูกกล่าวหาว่าสามานย์


The Soldier Drinks, Marc Chagall 1911-1912


Interior II Marc Chagall (1911)


The Fiddler, Marc Chagall 1912-1913

เงินเลี้ยงชีพจากวินาเวอร์ผู้สนับสนุนเพียงพอแต่ก็ต้องกินอยู่อย่างแร้นแค้น 
เขาเล่าไว้ในประวัติชีวิตว่าบางวันถึงกับไม่มีกิน ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถซื้อหาเครื่องมือเครื่องใช่ในการสร้างงานได้ 
ระหว่างช่วงแรกนี้ เขามักวาดภาพทับลงไปบนผ้าใบที่ใช้แล้ว 


ห้องพักในมองมาร์ดที่ใช้ร่วมกับคนอื่นคับแคบ 
ดังนั้นในต้นปี 1912 เขาก็ย้ายไปอยู่ที่ ลา รูจ ชานเมืองปารีส แหล่งของศิลปิน 

ที่พักทรุดโทรมและสกปรก แต่ก็มีราคาถูกและมีพื้นที่มากกว่าที่อยู่เดิม

ระหว่าง ปีคริสต์ศักราช 1910 ถึง 1912 
เขาได้ร่วมแสดงผลงานกับศิลปินคนอื่นๆบ้าง แต่ไม่เคยได้แสดงภาพของเขาล้วนๆเลยสักครั้ง ภาพที่ขายได้มีไม่กี่ภาพ 

อพอลิแนร์เพื่อนสนิทแนะนำชากัลให้รู้จักกับ เฮอร์วาร์ธ วอลเดน นักวาดแนวอิมเพรสชั่นท์ชาวเยอรมัน ผู้เริ่มก่อตั้งและบรรณาธิการของนิตยสาร พายุ Der Sturm นิตยสารที่แสดงผลงานอิมเพรสชั่นท์ที่โด่งดัง


วอ ลเดนสนใจวิสัยทัศน์ทางศิลปะที่โดดเด่นของชากัลและเสนองานแสดงภาพเดี่ยวที่ ห้องแสดงภาพของเขา 
ชากัลดีใจและรับไว้โดยหวังว่านี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะได้สร้างชื่อและ สร้างรายได้ที่จะช่วยลดทอนความขัดสนทางการเงินได้บ้าง


ปี 1914 
งานของเขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีในเยอรมันและประสบความสำเร็จทางการเงิน
 แต่ชากัลไม่อยู่ที่นั่น
เขาข้ามพรมแดนกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวและเบลล่าคนรักที่วิทเอ็บสค์


วันที่ 1 สิงหาคมปีเดียวกัน เยอรมันประกาศสงครามต่อฝรั่งเศสและรัสเซีย
ชากัลผู้ตั้งใจมาเยี่ยมบ้านเพียงสองสามสัปดาห์จึงติดอยู่ที่นั่น




*
ตอนต่อไป "สงครามและการปฎิวัติ ชากัลในรัสเซีย"
หมายเหตุ
ประวัติชีวิต มาร์ค ชากัล มีทั้งหมด 9 ตอน



Thanks to Olga's Gallery

10.4.55

ค้นพบ ศิลปะและคนรัก ชีวิตมาร์ค ชากัลตอน 2 (Marc Chagall 2)

ภาพเบลล่าและชากัล ในปี 1923 ที่บอสตัน
Bella and Chagall by Hugo Erfurth, Boston 1923




Chagall Portrait by Yuri Pen ภาพชากัลวาดโดย ยูริ เพ็น ครูศิลปะคนแรกของเขา


ที่โรงเรียนรัฐ ที่เด็กยิวอย่างมาร์ค ชากัลได้เข้าเรียนเพราะแม่ติดสินบนครูใหญ่
เขาพบจุดหักเหในชีวิตสู่หนทางแห่งศิลปะ
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเล่าว่า 
เมื่อเขาเห็นใครวาดรูป “เหมือนเขาเห็นภาพนิมิต มันปรากฎขึ้นอย่างโจ่งแจ้ง”

ต่อมาชากัลอธิบายว่า บ้านเขาไม่มีงานศิลปะเลยสักชิ้น ความคิดเกี่ยวกับงานศิลป์จึงเป็นเรื่องใหม่และแปลกแยกสำหรับเขา
เขาถามเพื่อนว่าจะเรียนวาดภาพได้อย่างไร เพื่อนตอบว่า “เจ้างั่งเอ้ย ก็ไปห้องสมุด เลือกภาพที่ชอบ แล้วก็วาดเลียนแบบยังไงล่ะ”
เขาทำตาม วาดเลียนภาพต่างๆจากหนังสือและพบว่าประสบการณ์นี้ทำให้เขาอิ่มเอม เขาจึงบอกแม่ว่าอยากเป็นจิตรกร


ระหว่างเรียนชั้นมัธยม เขาพบสตูดิโอของ ยูริ เพ็น
นักวาดภาพเหมือนผู้เป็นที่ยอมรับคนนี้มีโรงเรียนเล็กๆสอนวาดเขียนอยู่ที่วิทเอ็บสค์

ในปี 1906 
มาร์ค ชากัลอายุสิบเก้าและเรียนจบมัธยม
เขาก็เป็นนักเรียนของเพ็นโดยไม่ต้องเสียค่าเรียนเพราะเพ็นเห็นศักยภาพของเขา 
แต่สองสามเดือนต่อมา ชากัลก็พบว่า การวาดภาพเหมือนไม่เหมาะกับเขา

เพ็นจบจากเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก เขาทำให้ชากัลใฝ่ฝันอยากเดินทางไปเรียนศิลปะที่นั่น

เป็นเรื่องยากสำหรับคนยิวที่จะเดินทางไปเมืองหลวง คนยิวต้องมีใบอนุญาตพิเศษ

ชากัลขวนขวายและด้วยความช่วยเหลือของเพื่อน วิคเตอร์ เม็คเลอร์(Victor Mekkler) เขาก็ได้ใบอนุญาต เวลานั้นเขาอายุยี่สิบ (1907)


ที่เซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก 
ชากัลเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดำเนินการโดยกลุ่มสนับสนุนศิลปะ เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

ปีต่อมา เขาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนสอนศิลปะ อิแคทรีน่า ซวานเซว่า

งานในช่วงต้นนี้มีงาน สาวน้อยบนโซฟา (Young Girl on a Sofa)  
ซึ่งเป็นภาพของน้องสาว ภาพยังดิบและหยาบ





หลังจากนั้นงานก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นภาพวาดตนเองที่ลงไว้ในตอนหนึ่ง
บ้านเกิดยังส่งผลต่องานของเขาตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าเมืองวิทเอ็บสค์จะเป็นเมืองในอดีตไปแล้ว




"Window, Vitebsk" 1909
ภาพในช่วงต้นเรียงตามปีที่วาดดังนี้ 

1907 Young Girl on a Sofa (อายุยี่สิบ)
1908 Red Nude Sitting Up (อายุยี่สิบเอ็ด)
1908 Self-Portrait with Brushes (อายุยี่สิบสอง)
1909 Russian Wedding (อายุยี่สิบสาม)





1910 Birth (อายุยี่สิบสี่)
และภาพอื่นๆอีกหลายภาพ

เห็นได้ว่าในช่วงต้นนี้มาร์ค ชากัล วาดภาพออกมาไม่หยุด

ในปี 1909 เมื่ออายุยี่สิบสอง
เขากลับไปเยี่ยมบ้านและได้พบ เบลล่า โรเซนเฟลด์ เด็กสาวชาวยิวผู้ทรงเสน่ห์และมีการศึกษา
พ่อของเธอค้าเครื่องประดับ
ทั้งสองตกหลุมรักทันทีแม้เวลานั้นเธออายุเพียงสิบสี่
ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินต่อมาสามสิบห้าปี 
ใกล้ชิดรักใคร่จนเบลล่าตายจากไป


*

ตอนต่อไป "ปารีส"

7.4.55

มาร์ค ชากัล ชีวิตวัยเด็ก (Marc Chagall 1)

ภาพวาดตนเองเมื่อปีค.ศ.1914 เมื่ออายุ 27 ปี (Marc Chagall self-portrait in 1914)


ผู้สังเกตการณ์ย่อมมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นสมบัติ 
ถ้าผลจากการสังเกตการณ์นั้น เอื้อหรือให้ประโยชน์โดยตรงหรือโดยอ้อมกับตนเองหรืออื่น 
ความอยากรู้อยากเห็นที่มีจึงเป็นสมบัติที่เป็นคุณ

ไม่ใช่ความบังเอิญที่มนุษย์โลกจำนวนมากชื่นชอบผลงานของมาร์ค ชากัล
จึงอยากทำความรู้จักกับผู้สร้างงานผ่านปูมหลัง ความเป็นมาเป็นไปในชีวิต
ย่างก้าวก่อนและหลังการเป็นศิลปินโลก

ดังนี้จึงค้นคว้าหาอ่านจากที่ต่างๆ

ตัวหนังสือเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของ มาร์ค ชากัล
ทำให้ผู้สังเกตการณ์อย่างฉันได้ติดปีกโบยบินไปในโลกของเขาอย่างมีชีวิตชีวา กระตือรือร้น
ตื่นตาตื่นใจและได้ประโยชน์ 

ขอแบ่งบทความนี้เป็นตอนๆตามประสาคนเขียนบทกวีที่เคยชินกับความสั้นยาวที่พอดีกับความรู้สึกและเนื้อหาสาระที่นำมาถ่ายทอด

*


มาร์ค ชากัล (1887-1985) โดดเด่นเป็นตัวแทนของกลุ่มหัวใหม่(Avant-Guard)ของโลกตะวันตก
เขามีสไตล์เป็นของตนเอง ผสมผสาน 
เอ็กสเพรสชั่นนิสม์ ศิลปะที่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก หรือลัทธิสำแดงพลังอารมณ์ ที่ไม่ให้ความสำคัญกับความเสมือนจริง  
 ซิมโบลิสม์ (Symbolism) ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อถ่ายทอด 
คิวบิสม์ (Cubism)  ต้นแบบศิลปะ Abstract จุดกำเนิดของศิลปะสมัยใหม่  (Modernism)  
ที่ริเริ่มและนำทางด้วยผลงานของพลาโบ ปิคัสโซ่ (Pablo Picasso) และจอร์จ บราก (George Braque) หลายพันชิ้นเข้าด้วยกัน

มาร์ค ชากัลสร้างงานผ่านการใช้เทคนิคและสื่อถ่ายทอดต่างๆ ที่ทำให้เขาเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดในศตวรรษที่ยี่สิบ

มาร์ค ชากัลเป็นชื่อที่เขานำมาใช้เมื่อเดินทางถึงปารีส


ชีวิตวัยเด็ก

มาร์คเป็นคนยิวเกิดในรัสเซีย  
ชื่อเดิมคือ โมเช่ ชากัล Moishe Chagal ชื่อต้นเป็นภาษาฮิบบรู นามสกุลเป็นนามสกุลสามัญในหมู่ยิว

ชื่อตามกฎหมายในเอกสาร เจ้าหน้าที่เปลี่ยนให้เป็นชื่อแบบรัสเซีย มาร์ค ซัคคาโลวิค ชากาลอฟ (Mark Sakhalovich Shagalov)


ในเวลานั้น การเป็นชาวยิวในรัสเซียเป็นเรื่องยากลำบาก
เป็นคนนอก เป็นพลเมืองชั้นสอง
ชาวยิวถูกห้ามไม่ให้อยู่อาศัยในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่
ชาวยิวไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินและถูกห้ามไม่ให้อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ
พวกเขาถูกผลักดันให้ออกไปสร้างบ้านเรือนอยู่ไกลๆ ในหมู่บ้านขนาดย่อม
และเด็กๆชาวยิวเกือบทั้งหมดไม่ได้รับโอกาสให้เล่าเรียนในโรงเรียนของรัฐ
เพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต
พวกที่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากเรียนเพื่อเป็นหมอและทนาย 
เด็กๆจึงต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเล็กๆที่ตั้งขึ้นและจัดการโดยชาวยิวด้วยกัน
ชีวิตยากจนขนแค้นและขาดโอกาสเล่าเรียนในสถานศึกษาที่มีมาตรฐานสากล 

ครอบครัวชากัลอยู่ในหมู่บ้านใกล้เมือง วิทเอ็บสค์ (Vitebsk)
มาร์คเป็นลูกชายคนโต มีน้องแปดคน
พ่อของชากัลเป็นลูกจ้างพ่อค้าขายปลาแฮร์ริ่งดอง

ในหนังสือ"ชีวิตของข้าพเจ้า" เขาเล่าว่า

วันแล้ววันเล่า ไม่ว่าฤดูหนาวหรือฤดูร้อน
เมื่อถึงเวลาหกโมงเช้า พ่อของข้าพเจ้าตื่นขึ้นแล้วไปโบสถ์
 สวดมนต์เพื่อคนที่ตายไปแล้วหรือคนอื่นอย่างที่เคยทำ
กลับบ้านมาชงชา ดื่มมันแล้วไปทำงาน
งานนรก ไม่ผิดทาสฝีพาย
ปิดบังไปทำไม งานที่พ่อทำมันหนักหนาจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ

บนโต๊ะอาหารมีเนยและเนยแข็งมากพอเสมอ
มือของข้าพเจ้าไม่เคยขาดขนมปังทาเนย
สัญลักษณ์อันเป็นนิรันดร์"

แม่เป็นแม่บ้าน แร้นแค้นและไร้การศึกษา (ในวิกิพีเดียบอกว่าแม่ขายของชำอยู่กับบ้าน)
แต่เธอผู้นี้ได้ทลายกรงขังชากัลในโลกที่เขาเกิดมาสู่โอกาสทางการศึกษา
โอกาสที่เขาจะค้นพบและตระหนักรู้ซึ่งศักยภาพที่มี

เมื่ออายุสิบสามและเรียนจบชั้นประถม
แม่ของเขาต้องการให้เขาเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมของรัสเซีย
แต่โรงเรียนนี้ไม่รับชาวยิว"
ไม่มีความลังเลใดๆ
แม่เดินขึ้นบันไดไปเสนอเงินห้าสิบรูเปิ้ลกับครูใหญ่
"เขารับมันไว้
มาร์ค ชากัลจึงได้เข้าเรียนขั้นมัธยมของรัฐด้วยเงินสินบน


ภาพวาดพ่อแม่ของชากัลโดยชากัล

Chagall's Parents by Chagall



*

ตอนต่อไป "ค้นพบ ศิลปะและคนรัก"


5.4.55

แกนโลกไม่ใช่เสาคอนกรีต Abstract

ภาพวาดโดย มาร์ค ชากัล (Marc Chagall Painting)
คนนำมาลงเรียกภาพนี้ว่า "หนี !"


แก่นสาระของเธอคืออะไร
คำถามจากลมปากแทรกเข้ามาขัดจังหวะลมคำนึง

***

เธอคิดภาพคำถามของเธอออกไหม
ถ้าไม่ได้ เธอลองวาดภาพนามธรรมนี้เป็นใบไม้
ลอยล่องอย่างอิสระ
คล้ายไม่มีจุดหมาย
แท้ที่จริง มี

ในห้วงคำนึงไม่มีตัวตน
ใบไม้โดยสารสิ่งใด
เราแทนนามธรรมของสิ่งที่ใบไม้โดยสารเป็นสายน้ำจะดีไหม
เอาละ ที่นี้เธอคงเห็นภาพใบไม้ลอยมาบนผิวน้ำแล้ว
เธอได้คำตอบของฉันแล้วหรือยัง

ยัง?
ลองให้ใบไม้โดยสารสายลมดู
จะคิดออกไหม

*****

เรามองไม่เห็นสายลม ลมปากแรกว่า
สิ่งที่ตาไม่เห็น ไม่ใช่ไม่มีตัวตน อีกลมปากกล่าว

*****

ใบไม้ใบนั้นที่โดยสารสายลม พิสูจน์ว่าสายลมมีอยู่จริงได้ไหม

*****

ใบไม้เป็นปีกของสายลมอย่างนั้นซี ลมปากแรกว่า

*****

หรือในทางกลับกัน


แก่นสาระของฉันไม่ใช่เสาเอกที่ตอกตรึงอยู่กลางใจ
เริ่มแรกจากเซลล์ชีวิต มาจากยีนส์
เพิ่มเติมด้วยสิ่งที่ฉันสะสมเอง และสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้
นามธรรมนี้ แข็งแกร่งกว่าเสาคอนกรีตใด
ไม่จำเป็นต้องตอกตรึง

แกนของโลกไม่ใช่เสาคอนกรีต

*****

ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี

*****

ไม่เป็นไร โลกต้องการคนอย่างเธอมากกว่าคนอย่างฉัน

วันนี้วันศุกร์ที่ห้า เมษายน
วันนี้เป็นวันแรกในชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอ

นี่ใช่ไหมที่เธออยากได้ยิน
นี่จริงพอสำหรับเธอไหม

*****

เขาพยักหน้า ไม่มีอะไรให้เถียง ว่าแต่ว่า วันนี้จะไปกินของอร่อยที่ไหนดี

*****

ความอยาก เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง

*****

ใครคนหนึ่งแหวกสายลมเข้ามาในห้อง

วันนี้เราจะใช้คู่ปีกไหนดี เขาถาม

ปีกนกกางเขนก็พอ ฉันลุกขึ้นทันที
กำลังอยากเห็นตะเบบูญ่าที่ยังไม่ร่วงอยู่พอดี


เราติดปีกที่มองไม่เห็น
และออกบิน

นี่เป็นเรื่องสมมุติ
แต่เราติดปีกกันจริงๆ

ความจริงของเราก็คือ..

เรากำลังบิน


*

วาง
หนึ่งเปลือกหอยบนหาดทราย
หนึ่งความจริงของฉัน
ท่ามกลางหลากความจริงของโลก

*









1.4.55

ว่าด้วยเรื่องชนเผ่า มะลิกับพระจันทร์ โดย ศศิ



"ว่าด้วยเรื่องชนเผ่า" สืบเนื่องจากที่เขียนเมื่อวาน ศศิตามไปดูที่กู่ร้องให้ก้องบล้อกบ้าน"จันทร์ตะวัน" เลยก้อปมาลงค่ะ อ่านงี้ง่ายกว่า
มกรา จัสไปเขียนว่า
ยัยน้อง
ยัยน้องจ๋า
^^
กุมภา จันมาตอบ
ขาพี่จัส
^^

(เนี่ยค่ะ เค้าคุยกันแบบชนเผ่า)

ต่อมาจันมาเขียนที่"ห้องมีไว้คุย" ว่า
พี่จัสเปิด hotmail นะคะแล้วจะไม่เชื่อสายตา ไม่สิ แล้วจะเชื่อ"สายตา"ตัวเอง
ขอบคุณทุกความดีงามในอดีต วันนี้ และอนาคต ที่ให้จันมา ...ขอบคุณนะคะ ไม่รู้จะตอบแทนยังไง
จะมาทักทายให้บ่อยๆขึ้นนะคะ มาอ่านงานดีๆ มาเสพสิ่งดีๆค่ะ^^
มีบล้อกของพี่ๆอีกหลายคนเลย เย้เย้ คงต้องทำบล้อกตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง

ทีนี้จัสยาวเลย

พี่ จัสได้อ่านจดหมายยาวๆและสิ่งสำคัญที่รวมอยู่ข้างใน ดีใจจนน้ำตาคลอ เชื่อสายตาตัวเองมาตลอด ครั้งนี้เท่ากับการยืนยันอีกครั้ง ที่จะทำให้พี่จัสหลงสายตาตัวเองมากขึ้น

ดีจังเลยค่ะ ดีใจมาก ชื่นใจ ปลาบปลื้มจริงๆ ข่าวดีจากจันทร์มาถึงตอนพี่จัสกำลังแย่เสมอ ทำให้ลุกขึ้นมาได้

จันทร์จำตัวละคร"อิงก้า"ใน"แสงแดดในห้องใต้หลังคา"มั้ยคะ หญิงสวีดิชคนนั้นที่เฝ้าทอผ้าข้ามศตวรรษทั้งที่ไม่มีเส้นด้าย เธอคนนั้นในชีวิตจริง แรงบันดาลใจที่ก่อเกิดอิงก้า... จากไปชั่วกาล ขณะยุโรปหนาวเหน็บเกินคาด พี่จัสเลยหยุดพูด หยุดเขียน ใจมันอับเฉา หลุดออกมา แล้วกลับเข้าไปใหม่ หนีไม่หลุดค่ะ แล้วจันก็มาทำให้พี่จัสเขียนจนได้ เพราะความสุข ข่าวดีจากจันทร์ทำให้หลุดออกจากความเศร้า

จันทร์ ได้คุยกับนิ้วกลมด้วย ตอนนี้กำลังดูเธอไปเดนมาร์ค ไปคอมมูนของพวกฮิปปี้ เหล่าผู้แสวงหาสันติภาพ ชีวิตแบ่งปันที่เรียบง่าย

ทุกคนที่จันได้เจอแสดงความเชื่อในงานจัน มองแล้วเห็น ฟังแล้วได้ยิน เหมือนพี่จัส นี่คงเป็นบทพิสูจน์

ความฝันสวยงามกว่าความจริง ความฝันท้าทายความจริง ดังนั้นจึงดีที่เราฝัน ^^ ไปสู่โลกที่ดีกว่า ฝันคนเดียวอาจเป็นจริงไปไม่ได้ แต่ เมื่อมีคนร่วมฝัน ฝันจะกลายเป็นจริง

ตอนนี้มีคนพิเศษหลายคนเชื่อในตัวน้องจันทร์ที่ตอนนี้พี่จัสไม่อาจเอ่ยนาม เพราะยิ้มแก้มจะแตกอยู่แล้ว

ยัยน้องเอ้ย ... พี่จัสไม่ชอบให้ใครพูดคำนี้กับพี่จัส แต่วันนี้ พี่จัสของพูดคำนี้กับยัยน้อง บอกแล้ว เห็นเหรอยัง ^^

งานจันทร์เท่จริงด้วย แล้วก็กระชับจริงด้วย กลวิธีเล่าเยี่ยมยอด ถ้าจันถามความเห็นพี่จัส พี่จัสก็คงพูดไม่ผิดพี่ๆ นิ้วกลม บินหลา ศุ บุญเลี้ยง และหนุ่ม เมืองจันทร์ ^^

ตอบตรงนี้เลยนะคะ อ่านเมลยัยน้องแล้ว พี่จัสก็อยากตอบจดหมายดีๆกลับไป แล้วจะเขียนเมื่อเขียนนะคะ

ยัยน้องเอ้ย เจ๋ง!!!!!! ขอจบกู่ร้องให้ก้องบล้อกสามหน้านี้ด้วยคำของ”นิ้วกลม”... อย่าหยุดเขียนนะ จันทร์ตะวัน ^^

จันมาตอบ

ในโลกนี้จะมีคนที่ดีใจกับเราจริงๆกี่คน ขอบคุณที่พี่จัสมาเป็นหนึ่งในนั้น ..น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่ได้เจอในชีวิต

คงหยุดเขียนไม่ได้เเล้วค่ะพี่จัส ปฏิเสธธรรมชาติของตัวเองอยู่นานที่สุดก็หนีไม่พ้น

กว่าจะเป็นคนๆหนึ่งอายุ 22 ที่รักการเขียนได้ ใช้เวลา ใช้ทรัพยากรมากมาย กว่าจะมีจัสมินที่เขียนกวีที่มีต้นไม้งอกออกมาได้ ..อย่างไรก็หยุดเขียนไม่ได้หรอกค่ะ ^^

จัสไปตอบ

จันทร์.. ที่จริงพี่จัสไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่น้องจันทร์ได้ มาจากสิ่งที่น้องจันทร์มี

......

ดูซีคะดู ชนเผ่าคุยกัน ยาว จบแล้วก็ไม่รู้ว่า จันไปได้อะไรดีๆมา

ไม่ได้ค่ะ ศศิต้องรู้ให้ได้ ที่ช้าเนี่ยเพราะรอถามจัส

จันทร์ ตะวันไปชนะเลิศ Young Writer Award ของมติชนมาค่ะ ได้ไปกระทบไหล่ บินหลา สันการาคีรี ศุ บุญเลี้ยง นิ้วกลม และหนุ่ม เมืองจันทร์มาค่ะ
ได้ตัง ได้ให้หนังสือห้องสมุดโรงเรียนที่เลือก
ได้ดีใจ ภูมิใจ

บรรทัดล่างจัสได้ด้วยค่ะ ซึมอยู่เชียว แปบเดียวลุกมากรี๊ด

ขอแสดงความยินดีกับจันค่ะ
ดีใจด้วยชนเผ่าทั้งสอง

ศศิ
11/2/2012