Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


28.3.54

With Pen In Hand


“มีใครไม่เคยเบื่อตัวเองบ้าง” เพื่อนสนิทอยากให้เขียนถึงประเด็นนี้ ฉันไม่อาจให้คำตอบแทนคนอื่นๆได้ ทำได้เพียงตั้งคำถามคนรอบตัว กลุ่มตัวอย่างที่เล็กมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลก ฉันเตรียมคำถามสั้นๆไว้สามคำถาม

1. เคยพูดว่าเบื่อไหม? ทุกคนที่ฉันถามตอบว่าเคย

2. ถ้าเคย จริงจังและหมายความอย่างนั้นหรือไม่?

ใช่ แม้บางครั้งไม่เชิง คำว่า”เบื่อ”เป็นคำพูดง่ายๆ แต่ถึงพูดง่าย พวกเขาก็หมายความว่า เบื่อ !

3. ถ้าใช่ ทำไม? คำตอบคือ ต้องการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

คนเราย่อมแสวงหาวิถึทางที่ดีกว่าในการทำงาน “สิ่งดีที่สุด ย่อมหยุดอยู่กับที่” เมื่อเร็วๆนี้ ได้ฟังบทสัมภาษณ์ของนักดนตรีเพอร์คัสชั่นวงแซนตาน่า เขากล่าวว่า "อย่าคิดว่าคุณแน่ที่สุด มันหยุดการพัฒนาและที่นั่นคุณจะโดดเดี่ยว ความสำเร็จเกิดจากการฝึกฝน ทำงานศิลปะด้วยจังหวะเต้นของหัวใจ ส่งอารมณ์ความรู้สึกสู่ผู้เสพย์ศิลปะของคุณ"

เมื่อเบื่อความซ้ำซากจำเจของงานที่ทำ ใช้เวลาอยู่กับความเงียบ พูดจากับตนเอง แสวงหาความรู้จากหนังสือ จากผู้รู้จริง ถ่ายทอดความกังวลกับคนใกล้ที่คัดสรรค์แล้ว คนที่พร้อมรับฟัง แนะนำ ให้ทางออกอย่างเข้าใจ ปลอบโยน ให้กำลังใจ ไม่บั่นทอน ไม่เยินยอจนคุณหยุดอยู่กับที่

เมื่อใครสักคนพูดว่าเบื่อเพราะอยากทำงานให้ดีขึ้น หมายความว่าเขาคนนั้นกำลังหาทาง แต่ยังไม่พบเจอวิธีหรือทางออก หรือพบแล้วแต่ยังไม่แน่ใจ ทั้งหมดนี้คือความต้องการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงอาจนำสู่การค้นพบใหม่ การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ได้ผล การเปลี่ยนแปลงอาจถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งและอีกครั้ง เชื่อเถอะว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี การเปลี่ยนแปลงบ่งชี้ถึงการไม่หยุดอยู่กับที่ วัดไม่ได้ด้วยจำนวนเงิน แต่เป็นคุณค่าทางความรู้สึกที่มีต่อตน บ่งบอกการให้คุณค่าตนเองอย่างแท้จริง

*

24.3.54

เดวิด และดรุณีแห่งวสันตฤดู David and the Summer Maiden


1.

ท่านผู้เฒ่าแห่งฝนปรบมือสากกร้าน เสียงลมหวีดหวิวก่อนคำราม

ความเย็นแล่นวูบผ่านอณูความร้อนในทะเลทรายแห่งความตาย

ก่อเกิดเกลียวพายุหมุนวนขึ้นสู่เบื้องสูง

ดูดดึงชายหนุ่มผู้กำลังกระเสือกกระสนขึ้นไปพร้อมเม็ดทรายนับล้า น

เขาปิดตาแน่น มีประโยชน์อันใดที่จะลืมตา

ในความเกรี้ยวกราดคลั่งบ้า การมองเห็นเป็นเรื่องเกินจริง

เขากางแขนออกประดุจพญานก งามสง่าและภาคภูมิ

สักครั้งหนึ่งเถิด ขอให้ข้าได้เหินบินเยี่ยงอินทรี

ให้ข้าได้กรีดกรายเริงร่ายต้อนรับเจ้าชายแห่งความตายอย่างยโส
โอหัง

ริมฝีปากข้าจักเม้มสนิท มิปริปากร้องขอความเมตตาใด ๆ

เมื่อเรือนร่างงดงามแห่งเดวิดร่วงลงสู่พื้นโลก พลันแตกละเอียดเป็น
ผงธุลี

ข้าจะมิปริปากโอดครวญ

ปล่อยหน้าที่ร่ำไห้ให้แก่ชาวโลกผู้หลงไหลในประติมากรรมชิ้นเอก
แห่งบุรุษผู้งดงามที่สุดบนปฐพี


2.

ในความคลุ้มดำ เดวิดสัมผัสเม็ดฝนเย็นเยือก

ความเย็นเยือกนั้นดูดเอาความร้อนระอุแล้งน้ำออกไปจากร่าง

เขาอ้าปากดื่มกลืนน้ำฝนที่ตกหนาเม็ดขึ้น

ริมฝีปากแตกระแหงเพราะขาดน้ำชื้นชุ่ม

ความแรงลมที่รัดพันอ่อนแรงลง

หากมิได้ละทิ้ง กลับโอบอุ้มและเคลื่อนลงอย่างช้า ๆ

เขาเลื่อนละล่องเช่นปุยนุ่นปลิดปลิวจากฝักแก่ปริแตก

อ้อมกอดลม...วางเขาลงบนพื้นหญ้าเขียวหนาสดกรอบ

เขามองไปรอบตัว...อา ที่นี่เคยเต็มไปด้วยหญ้าแห้งสูงสีน้ำตาล

แข็งสากและเต็มไปด้วยขนแหลมที่ทำให้แสบคัน

หากบัดนี้ สถานที่นี้กลับกลายเป็นสวนสวรรค์ไปแล้วหรือ

เสียงเพลงแว่วมาแสนไกล มันเป็นเสียงไวโอลินสนุกสนาน

เช่นเสียงหัวเราะเต็มเสียงของชายกลางคน

เสียงหัวเราะคิกคักของสาว ๆ

และเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเด็ก ๆ ที่สวนสนุก


3.

เดวิดได้ยินเสียงตบมือของชายชราแห่งฝน

หากครั้งนี้ประหนึ่งท่านผู้เฒ่ากำลังเบิกบาน

วสันตฤดูมาถึงแล้ว ฤดูใบไม้ผลิกลับมาอีกครั้ง

เขาคลานมาที่ต้นไม่ใหญ่ต้นหนึ่ง

ความตื่นเต้นซึ่งเพิ่งผ่านไปทำให้อยากหลับสักงีบ

จึงเอนตัวลงนอน วางศีรษะลงบนรากไม้ที่โผล่ยื่นขึ้นมาเหมือนดั่งหมอน

เสียงเปรี๊ี๊ยะ ๆ ดังมาจากข้างบน เขาเหลือบตาขึ้นมอง

อา ใบไม้อ่อนเพิ่งผลิแตกจากตา

สีเขียวใหม่แห่งปี เพียงชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่ว

นี่มันต้นอะไรกัน ข้าจำไม่ได้

ข้าหลับใหลไปนานและในฝันของข้ามิเคยมีสีใด

นอกจากสีแห่งความเจ็บป่วยและความตาย

ขอข้าหลับสักงีบหนึ่งเถิด ข้าคงคิดออกเมื่อลืมตาตื่น


4.

เขานอนไม่หลับ จะหลับได้อย่างไรในฤดููแห่งการฟื้นตื่น

กอเตี๊ยลิลลี่หุบเขาหลังก้อนหินส่งกลิ่นหอมจรุงใจ

ดอกกะดิ่งสีขาว ๆ บนช่อสั่นไหวไปมาในสายลม

เจ้าสายลมนี่เองที่หอบกลิ่นหอมมาให้

นั่นบลูเบล ดอกกระดิ่งสีฟ้า ช่างกระตุ้งกระติ้งน่ารักนัก

โอ นั่นดงไวโอเล็ตสีม่วงบานเต็มอยู่ในหลุมดินรูปคล้ายอ่าง

คงเป็นหลุมที่ควายป่ามาทำเอาไว้

เกลือกกลิ้ง และ เกลือกกลิ้งในดินโคลนขังน้ำฝน เนิ่นนานมาแล้ว

บัดนี้กลายเป็นแอ่งแห้งหอมตรลบอบอวลสีม่วงดอกไวโอเล็ต

ข้าน่าจะไปนอนในนั้นและเสพย์ความสุขนี้เสียให้เต็มที่

ความตื่นตาตื่นใจทำให้ไม่ได้เงยมองไม้ใหญ่

เดวิดคืบคลานลงไปนอนท่ามกลิ่นหอมอบอวลนั้น

ก่อนเคลิ้มหลับ สายตาเหลือบเลยไปยังโคนไม้ที่เคยอิงแอบ

โอ ดอกไม้บางดอกผลิแย้ม

แมกโนเลีย

เขายิ้มอย่างเป็นสุข แมกโนเลียอยู่คู่โลกมานาน

เช่นความรักอยู่คู่มนุษย์ชายหญิง

แต่นั่นก็นานแสนนานมาแล้ว...สำหรับเขา

ดวงตาเดวิดหรี่ลง

เงาหนึ่งทอดทาบลงบนตัว

เขาปรายตาขึ้นมอง บนขอบแอ่งเบื้องบน เธอยืนอยู่ที่นั่น

สาวน้อยแห่งวสันตฤดู

~




21.3.54

เมื่อฉันเห็นขนนก When I Saw A Feather



เป็นเพราะเราไม่อาจลอยตัวได้ด้วยตัวของเราเอง
สิ่งที่ลอยตัวได้จึงสร้างความอัศจรรย์ใจให้เรามาตั้งแต่เด็ก
ขนนก กลีบดอกไม้ ใบไม้ ปุยเกสรที่พาเมล็ดพันธุ์เล็กๆไปหาแหล่งกำเนิดบนผืนดิน
รวมถึงสิ่งลอยตัวได้ที่มนุษย์สร้างขึ้น ลูกโป่ง โคมลอย บัลลูน เครื่องบิน
ถึงเราลอยตัวไม่ได้แต่เรามีความคิดและจินตนาการเสรี การเดินทางทางความคิดไม่มีขอบเขตจำกัด
แรงบันดาลใจทางความคิดและจินตนาการเกิดขึ้นได้ทั้งทางตรงด้วยตัวเอง และทางอ้อมผ่านคนอื่นหรือสิ่งอื่น

ความคิดและจินตนาการ ก่อเกิดงานศิลปะวิทยาการทุกสาขา
วรรณกรรม ภาพวาด ดนตรี สถาปัตยกรรม และสิ่งประดิษฐ์นับไม่ถ้วน
สิ่งประดิษฐ์ที่ก่อนหน้าถูกเรียกว่าความฝัน
แต่ละหนึ่งความฝันของคนแม้เพียงหนึ่งคน ที่ต่อมากลายเป็นความจริงของโลก

ความคิดและจินตนาการ บ่อยครั้งถูกเรียกรวมๆว่าความฝัน เพราะยังไม่มีรูปธรรมที่จับต้องได้
ความฝันจึงถูกตัดขาดออกจากความจริงโดยสิ้นเชิง
พันธนาการนามธรรมในยุคสมัยของข้อเท็จจริงและความจริง

ความคิดและจินตนาการทำให้เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
หลากหลายความฝันในอดีต กลายเป็นความจริงของปัจจุบัน
และแน่นอนว่าหลากหลายความฝันในปัจจุบัน จะกลายเป็นความจริงในอนาคต
ดังนั้น โปรดอย่ากั้นขวางความคิดและจินตนาการใคร โดยเฉพาะตนเอง
ความคิดและจินตนาการนี่แล้วที่จะนำสู่บางความจริงที่น่าชื่นชม ในวันพรุ่ง

นักคิด นักจินตนาการ หรือนักฝัน แท้จริงไม่ใส่ใจหรอกว่าถูกเรียกด้วยนามใด
กิ่งก้านแห่งจินตนาการเกิดจากต้นฝัน หรือในคำที่กลับกัน
ตราบเท่าที่ต้นไม้นั้นหยั่งรากลึกในดิน
ได้รับน้ำ อาหาร และแสงแดด จากคนฝันผู้เต็มเปี่ยมจินตนาการ
หากเขาโชคดี เขาจะถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่เชื่อมั่นในฝันเดียวกัน
และถ้าไม่มี เขาควรสร้างมันขึ้นด้วยการสร้างโอกาสและบทพิสูจน์

“ความฝัน จริงยิ่งกว่าความจริง ความฝันใกล้ชิดตัวตนกว่าความจริง”
เกียว ซินเจียน นักเขียนรางวัลโนเบลทางวรรณกรรมปีสองพัน กล่าวไว้

เป็นเช่นนั้น ...
ขณะทำหน้าที่ เก็บฝันกับตนไว้ให้ดี
หากปล่อยฝันห่างไกล ฝันอาจเปลี่ยนไป
เป็นได้เพียงฝันกลางวัน

บางความจริงจากบางความฝันก่อนเก่า เรียงรายเข้ามายืนยัน
บางความฝันดั้งเดิมกลายเป็นจริง
บางความฝันที่ยังเป็นความฝัน ไม่เคยเปลี่ยนไป
และยังเฝ้ารอเวลา



*

16.3.54

บทกวีที่ยังไม่ได้เขียน The Unwritten



บทกวีที่ยังไม่ได้เขียน

ฉันเวียนมองเปลวเทียนล้อลมไหว

ละเอียดอ่อนความรู้สึกล้ำลึกข้างใน

งามเอย ... งามหัวใจได้เพียงนั้น


ท่ามความเงียบงันอันแสนหวาน

ดอกไม้น้อยแย้มบานบนก้านฝัน

ทบทวน เรียงร้อยถ้อยคืนวัน

ค่อยผูกพันอ่อนโยนอุ่นเยื่อใย


ยังจดจำวันฟ้าสีฟ้าสด

ไม่ลืมแสงรันทดที่หมดใส

ยังจำเสียงหัวเราะกังวานไกล

ไม่ลืมน้ำตาใจในบางครา


หอมเอย ... หอมกรุ่นกลิ่นความฝัน

แม้กระนั้นต้องระวังครั้งเดินหน้า

ทุกความหมายรายรอบอักษรา

จักบ่งบอกคุณค่าของชีวี


หน้ากระดาษที่ว่างเปล่า

จะเขียนสุขหรือเศร้าเงาวิถี

รอเรียนรู้ เพื่อลงมือ...เขียนกานต์กวี

หวังเขียนบทดีดี ... ที่หัวใจ


*

15.3.54

ผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า The Blank Canvas


๑.

ฉันนิ่งมองแคนวาส

ในชั่วขณะเวลา โลกไม่มีอะไรอื่น

โลก มีเพียงฉัน และความว่างเปล่าบนผืนผ้าใบ


ความว่างเปล่า ช่างว่างเปล่าเสียจริง

ว่างเปล่ากระทั่งไม่มีใคร

แม้ในหนึ่งอณูความคิด

ความว่างเปล่า น่ากลัว

น่ากลัว เพราะไม่มีใคร

ความกลัวทำให้ฉันตระหนักถึงการคงอยู่ของความรู้สึก


การคงอยู่ของความรู้สึกทำให้ฉันไม่กลัว ...

เมื่อรับรู้ว่าความว่างเปล่า ... ไม่ว่างเปล่า


ความรู้สึกบ่งบอกการดำรงอยู่ของตัวตน

ความเป็นเอกเทศ ณ ช่วงเวลาเช่นนี้

มอบความอิสระให้รู้สึก

หากความรู้สึกกลับบอกว่าไม่อิสระ

เพราะการดำรงอยู่ของตัวตน


ดังนั้นฉันจึงถอยออกมาจากผืนผ้าใบว่างเปล่า

เหลือบตามองช่อไม้ระริกไหวในอากาศ

ความว่างเปล่าของอากาศไม่ว่างเปล่า

ดังนั้นการไม่เห็นจึงไม่ใช่การไม่มี


ฉันก้าวเข้าไป

จุ่มพู่กันลงในน้ำใสสะอาด

แล้วแตะแต้มลงบนความว่างเปล่าของผืนผ้าใบ


~







5.3.54

หญิงสาว ภาพวาด และบทกวี

Oil on canvas by Irene Sheri


จากห้องเย็นยะเยือกบนดินแดนเย็นยะเยือก

ฉันมองผ่านหน้าต่างกระจกบานแคบและยาว ส่งสายตาไปสัมผัสแดดพฤศจิกา
นกสีฟ้า ดำผุดดำว่าย สลัดปีกขน ฝอยน้ำกระจายกลายสายรุ้งน้อย

ความสร้อยเศร้าเบาบาง

เควังคว้างคล้ายขนนกคล้อยลอยลม


ทุกเช้า ใช้เวลาสักสิบห้านาที วาดรูปมาฝากกันได้ไหม

ใครบางคนกลัวถูกลืม

ฉันออกจากห้องที่อุ่นกว่า สู่ที่โล่งที่เย็นกว่า

พู่กันชุ่มน้ำชุบสีเจือจาง บรรจงแตะแต้มบนแคนวาส

ใช้เวลาสิบห้านาทีนั้น คำนึงถึงเจ้าของถ้อยคำ
สรรสร้างของกำนัลแด่เขาผู้ต้องการ

ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง
ใบไม้หนึ่งปลิวมาจุมพิตภาพวาด
ฉันกรีดนิ้วหยิบใบบางจากความเปียกชื้นสีส้มอมชมพู
ยกขึ้นแนบแก้ม

ก่อนวางเก็บไว้ในหน้าหนังสือ


*

ภาพชื่อ Shadow of Love

1.3.54

บทสนทนาครั้งแรกกับคนแปลกหน้า First Conversation To A Stranger

จัดเรียงกึ่งกลาง
Oil on canvas by Irene Sheri

บทเพลงของคุณ...
สะท้านขุ่นขมสู่ห้วงอากาศนิ่งสงัด
เสียงก้องสะท้อนย้อนกลับไปกลับมา
โอ นั่นคือบทสนทนาของเราสองเพียงเท่านั้นหรือ

ฟังสิ...ฟังให้ดี
คุณได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินหรือเปล่า
เพลงเศร้าขับขานดังกระหึ่ม
ซาบซึมทั้งเมามึนความหวานซ่านทรวง
ท่ามห้วงขื่นขมรุนแรงไม่แพ้กัน

เสียงความทรงจำโลกดังระงม
เสียง...ซึ่งถูกบันทึกไว้จากศตวรรษสู่ศตวรรษ
ผ่านการเกิดใหม่และแตกดับของสรรพสิ่ง
...ไม่เว้นแม้แต่ดวงดาว

หยดหยาดความขม...
ที่คุณบรรจงรินลงในแก้วแห่งความรู้สึก
เพิ่มรสชาติให้สิ่งที่ฉันกำลังดื่มกิน

ดูนั่น พวกเขาก้าวใกล้เข้ามา

คงปรารถนาดูหน้าชายคนเศร้าให้ชัดชัด
โอ ! พวกนั้นยกแก้วให้คุณ
แทนคำขอบคุณต่อบทสนทนาและต้อนรับ
ยกแก้วตอบพวกเขาสิ
ยกแก้วให้มวลเหล่ามิตร ผู้ร่วมมหาชะตากรรมเดียวกันกับคุณ


เขียนร่วมหทัย
ภาพชื่อ Love Bouquet