Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


28.2.53

ขอเวลาข้าอีกเพียงสักนิด 7 (Vincent Van Gogh, Give Me a Liitle More Time)

ขอเวลาข้าอีกเพียงสักนิด

Vincent van Gogh
"Last Phase"


























ความเจ็บป่วยเพื่อนเอย

ปล่อยข้าไว้เฉยเฉยบ้างได้ไหม

ขอเวลาข้าอีกเพียงชั่วขณะ ละไปก่อนเถิดความเจ็บไข้


ขอข้าได้ดื่มด่ำความงามของแผ่นดินนี้ที่ข้ามาเยือน


ไม่นานหรอกไม่นาน...

ปรากฎการณ์ตรงหน้าจักเลือนลาง จางหาย 
และแล้วล่วงลับไปกับวันวาน

ปานเกลียวคลื่นอ้อยอิ่งกลิ้งตัวเข้าสู่หาดทราย 
กลายกลบลบสิ้นรอยเท้าบนผืนทราย

สูญสลายเพียงด้วยสัมผัสสามัญแห่งกาล


ดูนั่น ! ดอกอัลมอนด์กำลังผลิบาน

นวลสคราญอยู่บนก้านน้ำตาลดำ

ดวงตาข้า เห็นอัลมอนด์ทุกดอก

กลิ่นหอม...ข้าจักนิรมิตลงบนผืนผ้าใบเยี่ยงใด


ข้าปรารถนาวาดภาพตัวแทนความรักของสวรรค์ที่มีต่อโลก

ผ่านบุษบานี้ !


ขอเวลาข้าอีกเพียงสักนิด
ขอข้าได้เพ่งพิศพินิจความงาม
ผ่านดวงตา ห้วงคิด จิตวิญญาณ

ผ่านชีวิตบัดซบและชะตากรรมอันอับเฉา 

ผ่านชึวิตซึมเซาในซากโทรมทรุดประหนึ่งสิ่งปรักทักพัง
ขอให้ข้าได้ถ่ายทอดความเมตตานี้ผ่านมือและนิ้วอันตักตวงเต็มแล้ว ซึ่งความรักแห่งพระผู้สร้าง

ได้โปรดเถิด ขอเวลาข้าอีกเพียงสักนิด ~




.....

26.2.53

ราตรีประดับดาว 6 (Vincent van Gogh, Vincent)

Vincent van Gogh's Self Portrait

(งานแปล)
Vincent ราตรีประดับดาว


ราตรีประดับดาว...

ผสมสีฟ้าและเทาลงบนจาน

มองผ่านออกไปยังวันหนึ่งในฤดูร้อน

ด้วยดวงตาหยั่งรู้ ถึงความมืดมนหดหู่แห่งจิตวิญญาณข้า


เงาบนภูผา

ร่างภาพพฤกษาและผกาแดฟโฟดิล

คว้าสายลมยะเยือกแห่งฤดูหนาว

ป้ายสีสายลมลงบนผืนดินห่มคลุมด้วยหิมะ

มาบัดนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าท่านพยายามบอกเล่าสิ่งใด

ว่าท่านทนทุกข์ทรมานปานใดในวิปลาส

ท่านพยายามเพียงไรเพื่อปลดปล่อยความบ้านั้นสู่อิสรภาพ

พวกเขาไม่ยอมฟัง

พวกเขาไม่รู้ว่าจะฟังอย่างไร

บางที ตอนนี้พวกเขาอาจจะฟัง


คืนดาวเต็มฟ้า...

บุบผาเปลวไฟลุกโชติช่วง

หมู่ก้อนเมฆหมุนวนในหมอกหม่นสีม่วง

สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าสดของวินเซนต์


สีที่เปลี่ยนไป

ทุ่งหญ้ายามอรุณรุ่งแห่งเส้นสายเหลืองอำพัน

บนใบหน้าผ่านร้อนหนาวเนิ่นนาน

รอยย่นกรำกร้าานอันเกิดจากความเจ็บปวดในชีวิต

ถูกทำให้นุ่มนวลขึ้น ด้วยมือแห่งรักของนักวาด


เพราะพวกเขาไม่อาจรักท่านอย่างที่ท่านเป็น

กระนั้นรักของท่านกลับจริงแท้

แลยามหัวใจสูญสิ้นแล้วซึ่งความหวัง

ณ ราตรีที่มีดาวคืนนั้น

ท่านจบชีวิตเยี่ยงคนรักมักกระทำ

ข้าพเจ้าอยากบอกท่านเหลือเกินว่า

โลกนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อมนุษย์สุดงดงามเช่นท่าน


ราตรีประดับดาวดารดาษ

ภาพวาดแขวนอยู่บนผนังห้องโถงว่างเปล่า

ภาพศีรษะไร้กรอบบนกำแพงนิรนาม

ดวงตาจับจ้องมองโลก

ไม่ลืมเลือน

ดุจเหล่าคนแปลกหน้าที่พานพบ

ชายผู้แหว่งวิ่นในเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง

กุหลาบสีเลือดที่มีหนามสีเงิน

ถูกบดขยี้ยับเยินอยู่บนหิมะขาวพิสุทธิ์


บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้ารู้แล้ว

ท่านพยายามบอกเล่าสิ่งใด

ว่าท่านทนทรมานปานใดในวิปลาส

ท่านพยายามเพียงไรเพื่อปลดปล่อยมันสู่อิสรภาพ

พวกเขาไม่เคยฟัง

พวกเขายังไม่ฟัง

บางที

พวกเขาจะไม่มีวันฟัง.


.

.

.

ชีวิต ! (5) ( Vincent van Gogh, Life !)

The Potato Eaters by Vincent van Gogh

ชีวิต ! ........ โดยผู้เขียนร่วม


วินเซนต์ แวน ก็อกห์ (30 มีค.1853 – 29 กค.1890)

ชีวิตของจิตรกรผู้สร้างสรรค์ความงามบรรณาการแก่โลก
บางคนทั้งชีวิตจมอยู่ในความเศร้าโศกเสมอมา
ชีวิตของชายหนุ่มผู้ฝันถึงชีวิตนักบวช
ทว่ากลับต้องเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่า
ด้วยตระหนักความจริงว่า คำสอนแห่งองค์ศาสดา
มีค่าน้อยกว่าหัวมันฝรั่งเพียงหนึ่งหัว และขนมปังเพียงชิ้น
สำหรับท้องที่กลวงว่าง
ทุกเส้นทางคือความเศร้า
เงาของชีวิตจึงทาบทาลงบนกระดาษสีขาว
ด้วยสีจากแท่งถ่านสีดำ

ความบอบช้ำแห่งชีวิตและการงาน
ความเบิกบานในความมัวหม่น
โอ..ชีวิตคนหรือเท่านี้
แต่ด้วยสีสันทั้งมวลที่โลกมี
พร้อมกับไฟที่ลุกโชนในจิตนาการ
บันดาลให้เขาวาดภาพชีวิต
วาดภาพธรรมชาติ
ผ่านสายตาและความคิดพวยพุ่ง
เส้นสายที่เคยพลิ้วไหวเปลี่ยนไปเป็นความบ้าบิ่น
และความรุนแรงของการแสดงออก

ข้าเองก็หลงรักภาพวาดของเขา
บางคราในโลกที่คลุ้งคลั่งเยี่ยงนี้
ข้าก็ปรารถนาเป็นคนวิกลจริต
ผู้พร้อมพลีกายและเนรมิตรงานศิลป์เล็ก ๆ
และยอมทนแม้ไร้คนใส่ใจ
ดุจเดียวกับชายผู้นั้น
ผู้ผ่านมาดุจพายุฤดูหนาว
จากไปเหมือนดาวตก
พ้นไปจากสวรรค์จอมปลอมและขุมนรก
มอบความงามจากแง่งามของความสกปรกโสมม
แด่พระผู้เป็นเจ้าทั้งกายและวิญญาณ




โดย "ถึงคุณจัสมิน" เขียนร่วมไว้ปลายปี 06 ที่บอร์ดประพันธ์สาสน์

..

.

24.2.53

ทำหาย

ทำหาย ...



.

.

.

.

.

งัวเงีย

ระหว่างหลับใหลและตื่นฟื้น


แว่วหวานท่วงทำนองเพลง

อ้อยอิ่ง ทอดถอน ถดถอย แล้วลอยลับ

จำเนื้อร้องไม่ได้ !

เนื้อเพลงหายไปไหน ?

~

บางถ้อยคำปรากฏ

ชัดเจน แล้วแตกกระจาย

จำเสียงคนพูดไม่ได้

เสียงหายไปไหน ?




มกราคม 2510

คืนดาวเต็มฟ้า 4 Vincent van Gogh, Starry Night

Starry Night by Vincent Van Gogh


เมือง หลับใหลใต้ท้องฟ้ายามราตรี

เบื้องหน้าท้องฟ้าสีมิดไนท์บลู หมู่ดาราเปล่งประกายกระจ่าง
สะพานโค้งทางช้างเผือก ชักนำสายตาจากดาวดวงหนึ่ง สู่อีกดวงหนึ่ง

คล้ายความพยายามเชื่อมต่อ แต่มิเชื่อมติด

เส้นสายเรื่อเรืองระหว่างผืนฟ้าผืนดิน
ดุจเชื้อเชิญ ชักชวนให้ออกเดินทางไปบนถนนดวงดาว
ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด

ฉัน หลุดเข้าไปในภาพนั้น
และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน

กลมกลืน
จนไม่มีใครมองเห็น

*




23.2.53

คนเดินทางกับข้างวิถึ (3) (Vincent van Gogh, Letter to Theo)


ข้างวิถีของคนเดินทาง
(ข้อความในจดหมายจากวินเซนต์ถึงธีโอน้องชาย)

เธอบอกว่า พ่อมีหลายอย่างต้องคิด
แต่ฉันเชื่อว่า สิ่งมากมายที่พ่อคิด
ทำให้พ่อไม่ต้องคิดสิ่งที่จำเป็นต้องคิด

ปีแล้วปีเล่า
สิ่งที่พ่อคิดไม่ใช่สิ่งสำคัญ และนั่นคือประเด็น
พ่อไม่เคยรู้เลยว่า บางสิ่งต้องการการประนีประนอมและการยอมรับ
ดีแล้ว ปล่อยพ่อไว้กับสิ่งอื่น ๆ เถิด

ฉันเริ่มถามตัวเองว่า "แล้วฉันล่ะ กำลังยึดติดกับ "สิ่งอื่น ๆ" ใช่ไหม
พ่อจะพูดว่า "เราดีต่อเธอเสมอ"
แล้วฉันก็จะพูดว่า ...
"อ้อ อย่างนั้นหรือ พ่ออาจพึงพอใจ แต่ผมไม่"


เวลานี้เธอหวาดกลัวความธรรมดา
“ความธรรมดา” ในความหมายที่เลวร้ายที่สุดของคำนี้
อย่างไรเล่า เพื่อความไม่ธรรมดา เธอพร้อมจะเข่นฆ่า
ยินยอมให้สิ่งดีที่สุดแห่งดวงวิญญาณ มอดดับลงอย่างนั้นหรือ

หากเป็นเช่นนั้น ความกลัวของเธอจะเป็นจริง

เราจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร
ด้วยการยินยอมทำตามสิ่งที่โลกกำหนด
ทำอย่างหนึ่งในวันนี้และทำอีกอย่างในวันพรุ่งหรือ
ทำโดยมิโต้แย้งต่อโลก
เพื่อปกป้องตัวเองจากความคิดสาธารณะ
อย่างนั้นหรือ

ในขณะนี้ ฉันขอพูดกับเธอเช่นพี่ต่อน้อง เช่นเพื่อนต่อเพื่อน
แม้วัยเยาว์ของเธอหม่นมัวเคร่งเครียด
ในอนาคต เรามาแสวงหาแสงอ่อนละมุนกันเถิด
แสงซึ่งฉันไม่อาจหานามใดมาเรียกขานได้ดีกว่า
รังสีแห่งแสงขาวหรือรังสีแห่งความดีงาม

แล้วก็น้องชาย ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่ชีวิตของเธอยังตอบรับการสะท้อนกลับทางความคิดได้อย่่างลุ่มลึก
ฉันเชื่อว่าเธอตกอยู่ในอันตราย เพราะมองหลายสิ่งยิ่งใหญ่อย่างบิดเบือน
และฉันเชื่อว่า เธอควรตรวจตราภาพชีวิตในวันข้างหน้าให้ละเอียดถี่ถ้วน
ผลลัพธ์ที่ได้ จะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น

ฉันไม่ได้พูดเช่นฉันรู้ แต่เธอไม่รู้
หากพูด เพราะพบว่า การบอกคน ๆ หนึ่งว่าผิดหรือถูกนั้นยากเย็นขึ้นทุกที
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ การร่ำเรียน
ทุก ๆ ความพยายามสู่การวาด
ทุก ๆ ความรักครั้งใหม่
ทุกการดิ้นรนไปกับธรรมชาติ
ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว
ต่างนำฉันย่างก้าวใกล้จุดหมายเข้าไปทุกที
แม้ไม่มั่นคง

น้องชาย จริงที่ฉันเริ่มต้นด้วยการกลืนกลั้นหยาดน้ำตา
หากยังคงมีความหวังเงียบ ๆ ผสมปนเปอยู่กับความโศกทั้งหมดนั้น
ปีแรก ๆ แห่งการดิ้นรน อาจเป็นปีของการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความโศก
แต่ก็ช่างมันเถิด

เราจะดูกันต่อไป บนระยะทางแสนไกล
เราอาจมีความหวังเล็ก ๆ เงียบ ๆ
ถึงช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว


~

ฉันเป็นหมาตัวนั้น (2) (Vincent van Gogh, Letter to Theo)

Self Portrait
Van Gogh by Van Gogh















ฉันเป็นหมาตัวนั้น
จดหมายจากวินเซนท์ถึงธีโอน้องชาย (แปล)

“วัยเยาว์ของฉันหม่นมัว เยือกเย็น และแห้งแล้ง”


เนื้อความในจดหมายวินเซนต์ ถึง ธีโอ น้องชายที่รัก
โมฟบอกฉัน หากเธอมุ่งมั่นกับศิลปะของเธอ
หากเธอดำดิ่งเอาจริงเอาจังมากกว่านี้
เธอจะค้นพบตัวเอง.

ฉันเฝ้าคิดถึงคำพูดเหล่านั้น จนพบตัวเอง

ฉันเป็นหมาตัวนั้น หมาที่ฉันวาด
หมาที่ฉันวาดในจดหมายถึงเธอเมื่อวาน คือฉัน
และชีวิตเจ้าสัตว์ตัวนั้น คือชีวิตฉัน
เธออาจคิดว่าฉันพูดเกินไป
แต่ฉันไม่ขอถอนคำพูด


เอาความเป็นตัวตนของเราออกไป
มาศึกษา มาวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะอย่างตรงไปตรงมา
ประหนึ่งฉันกำลังพูดถึงคนแปลกหน้า
ไม่ใช่เธอ
หรือฉัน
หรือพ่อ


ฤดูร้อนที่ผ่านไป
พี่น้องสองคนเดินอยู่ด้วยกัน
มองทั้งสองเช่นมองคนไม่รู้จัก...
เช่นคนอื่น
อย่าคิดถึงตัวเอง หรือฉัน หรือเธอ
คนหนึ่งพูดว่า ฉันชักเหมือนพ่อเข้าทุกที
ฉันอยากมีสถานะทางสังคมและการเงินที่มั่นคง
ฉันจะทำธุรกิจครอบครัวต่อไป
ฉันจะไม่เป็นนักวาด

อีกคนหนึ่งว่า
นับวันฉันยิ่งไม่เหมือนพ่อ
ฉันกำลังกลายเป็นหมา
รู้สีกว่าอนาคตจะทำให้ฉันน่าเกลียดขึ้น หยาบขึ้น
ฉันเห็นความยากจนในชะตาชีวิต

แต่...
ไม่ว่าฉันจะเป็นคนหรือหมา
ฉันจะเป็นนักวาด
สั้น ๆ คือ - ฉันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก

ฉันเลือกวิถีของหมาที่พูดถึงตัวนั้น
ฉันยังคงเป็นหมา
ฉันจะยากจนข้นแค้น
ฉันจะเป็นนักวาด


ฉันปรารถนาจะรักษาความเป็นมนุษย์ อยู่ในธรรมชาติ
ใครก็ตามที่หันหนีธรรมชาติ
ในสมองมักเต็มไปด้วยความคิดที่จะเก็บนี่รักษานั่น
สิ่งเหล่านั้นจะพาเขาหลุดออกไปจากธรรมชาติ
กระทั่งตัวเขาเองไม่อาจรับได้
โอ หากเป็นเช่นนั้น
เขาจะไปถึงสถานที่ซึ่งเขามิอาจแยกขาวจากดำได้อีกต่อไป
และคนๆ นั้นจะกลายเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่เขาอยากเป็น
ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเชื่อว่าเขาเป็น โดยสิ้นเชิง




~


22.2.53

รองเท้านักเดินทาง (Vincent van Gogh, The Shoes)









Shoes by Vincent van Gogh (30.3.1853 – 29.7.1890)

"ฉันเป็นหมาตัวนั้น ฉันจะยากจนค่นแค้น ฉันจะเป็นนักวาด"


วินเซนต์ วิลเลม แวน ก็อกห์ ชายที่โลกมองไม่เห็นเมื่อเขายังมีชีวิต

คนเดียวกับอัจฉริยะบุคคลที่โลกค้นพบและไม่อาจลืมหลังจากนั้น


ขุดค้น ฉีกทึ้ง กระเทาะ ทุบแตก กระทั่งทำลายชีวิต

ทุ่มถมทั้งหมดลงบนถนนสายปรารถนา


เขา เดินทางไปพบตนเองเมื่ออายุสามสิบ


"
ฉันจะเป็นนักวาด"

ดวงไฟช่วงโชติลุกโชนแผดเผา

ร่างกายโทรมทรุด หัวใจโทรมทรุด ชีวิตโทรมทรุด

ชายคนฝัน


"
บางคนเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องผ่านภาพวาด"

ที่สุดของความพิศวาสแสนมหัศจรรย์
ความงดงามที่เขาละไว้เบื้องหลัง

คนรักแท้จริงเพียงคนเดียว

ภาพวาด


ผกายแสงเหลืองอำพันนั้นมาจากไหน

พิษร้ายสะสมจากน้ำเมาที่จิบดื่มเป็นประจำ

ตามคำอธิบายของนักเคมียุค
'ซึ่งต้องพิสูจน์'ว่าไว้ อย่างนั้นหรือ

หรือแสงนั้นคือสิ่งที่สวรรค์จงใจมอบให้โลกผ่านดวงตาของเขา

หรือคือคำขอบคุณต่อชายคนบ้า

ผู้มองเห็นความงาม ผ่านม่านหนาหนักแห่งชะตากรรม


ณ รอยต่อยุคสมัย วิกฤตล้ำค่า

เขาก้มหน้าถ่ายทอดงานศิลป์

สรรค์สร้างความรักเป็นประจักษ์พยาน

เบ่งบานข้ามกาลเวลาต่อสายตามนุษยชาติ

ตอกย้ำการอุบัติ มุ่งมั่นทุกก้าวย่าง

ไม่หวั่นไหวต่อการเหยียบยืน

แม้ดำรงอยู่อย่างยากลำบากของชายผอมบาง

คนตัวเล็กๆผู้สร้างสิ่งเล็กๆที่ยิ่งใหญ่

อย่างเงียบๆ

จนวาระสุดท้าย


ปัง
!

เขาไม่เคยจากไป




*

"หนทางรู้จักพระเจ้า คือรู้จักรักหลายๆสิ่ง"
The way to know God is to love many things.
(Vincent van Gogh , 30.3.1853 – 29.7.1890)

ขอบคุณคนส่งแรงเขียนถึงวินเซนต์ มาอีกครั้งค่ะ


จัสมิน

30.6.2011

~


วินเซนต์ แวน ก็อกห์ (30 มีค.1853 – 29 กค.1890)


*

อย่าลืมตัวร้ายในนิทาน














เด็กหญิงตัวน้อยฟังแม่อ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน
จินตนาการเด็กติดตามจินตนาการคนเขียน
อลิซในแดนมหัศจรรย์ สโนไวท์และคนแคระทั้งเจ็ด
เจ้าหญิงนิทรา ซินเดอเรลล่า พิน็อคคิโอ และปีเตอร์แพน
การเดินทางแสนมหัศจรรย์ทำให้อ่อนล้า
กระนั้นยังห่วงชะตากรรมเหล่าเพื่อนในหนังสือ
อลิซจะเป็นยังไงคะ
อลิซไม่เป็นไรหรอกลูก เธอจะได้กลับบ้าน

ดวงตาหรี่ปรือ ... ลูกอยากเป็นปีเตอร์แพน...
เก็บหัวใจและดวงตาของเด็กน้อยไว้
แต่ อย่าลืมตัวร้ายในนิทาน


วันนี้ หัวใจดวงเล็กโตขึ้นมาก
หัวใจดวงโตเก็บหัวใจเด็กน้อยไว้ข้างในอย่างหวงแหน
การเดินทางสู่โลกแฟนตาซียังไม่สิ้นสุด

อย่าลืมผู้ร้ายในนิทาน !


ขณะบางคนถือถุงใส่หนังสือเทพนิยายไปฝากลูก
เขาบดขยี้จินตนาการคนเคยเป็นเด็ก ... เรียกขานว่าความเพ้อฝัน
เราต้องมองทุกอย่างอย่างเป็นจริง ท้องถนนเต็มไปด้วยทุกข์


เทพนิยายทุกเรื่องเต็มไปด้วยทุกข์
ใครพบสุขทุกข์และแบกไว้
เราเองไม่ใช่หรือ


อย่าลืมเหล่าผู้ร้ายในนิทาน
ผู้สร้างความหวาดหวั่นในโลกจินตนาการ
หนูน้อยหมวกแดง กับหมาป่าเจ้าเล่ห์
ซินเดอเรลล่า กับแม่เลี้ยงผู้ชั่วร้าย
สโนไวท์ กับแม่มดผู้คลั่งไคล้ความงาม

ปีเตอร์แพน
เราจะไม่ลืมกัปตันฮุ๊ค !






เขียนไว้เมื่อ 19.7.09





21.2.53

เวลา
นามธรรมที่มองไม่เห็น

เช่นเดียวกับมิตรภาพ ความรัก ความสุข
และสิ่งตรงกันข้าม
กระนั้น...เรารู้ว่า...มีอยู่


เวลาไม่เคยวางบางสิ่งไว้ให้เรา
แต่เราสามารถวางบางอย่างไว้ในเวลา
เวลาได้แต่เดินหน้า ไม่สนใจใคร่รู้
ผ่านแล้ว ผ่านเลย
ไม่เหมือนเรา


หนังสือเรียงรายอยู่ในจักรวาล
คณานับผู้เขียน จากไปเนิ่นนาน
แต่หนังสือ ยังคงดำรงอยู่ในกาล


เราไม่อาจหยิบฉวยจากเวลา คนหนึ่งบอก
อีกคนนั่งลง หยิบกระดาษปากกา
หยิบฉวยจากตนเอง เขียนลงบนกระดาษ
วางตัวหนังสือ
ไว้ในเวลา




เขียนไว้เมื่อ 10.2.10

20.2.53

บอกเล่าเก้าสิบ Those things we talk

Jasmine flowers in vase


เมื่อวางดอกมะลิบนกระดาษเปล่า
ดอกมะลิหายไป
เห็นเพียง 'ก้านสีตอง'

.

.