Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


28.11.54

ผู้สังเกตการณ์ The Observer




ความเศร้าอาจโอบกอดเธอไว้
แต่เธออย่าโอบกอดความเศร้า
ปลดปล่อยมันเสียเถิด
แล้วเธอจะรู้ว่า
ความเศร้าไม่เคยโอบกอดเธอเลย

*

สองแขนที่ได้คืน อาจผืนฟ้าคืออาณาจักร
สองปีกบินไปในฐานะผู้สังเกตการณ์
ความโล่งกว้างของท้องฟ้านั้นอ้างว้าง
หากเธออย่าโอบกอดความเดียวดาย
เพื่อจะได้รู้ว่า
ความเดียวดาย มิได้เสน่หา


กระนั้น อย่าโอบรัดเสรีภาพ
ไม่มีใครสามารถกักขังเสรีภาพไว้ในอ้อมแขน
ด้วยมันจะเปลี่ยนไป เป็นสิ่งตรงกันข้าม


ดูสิ ในช่วงเวลาฉุกละหุกแห่งวิบัติภัย
สิ่งใดที่ติดตัวโดยไม่ต้องพกพา
ล้วนแล้วแต่นามธรรมหรือมิใช่
นามธรรมใดหรือที่ติดตัวเธอมา
นามธรรมใดที่เหลืออยู่
และดำรง


ฉัน มองหน้ากระดาษขาวของสมุดปกดำนิ่งนาน
ลูบปกหนังนิ่มๆ ก่อนเขียนถ้อยความ
ในฐานะผู้สังเกตการณ์









*



21.11.54

จากมุมมองของสิ่งที่มี Of what we have

liveandinspire


จันทร์ดวงเศร้าที่เราเห็น
เป็นคนละดวงเดียวกันกับพระจันทร์ใหม่ของอาดัม
ด้วยมนุษยโลกได้รินเติมความโศกาอาดูร
ลงในความพิสุทธิ์แห่งจันทร์

*

1.

เธอผู้ซุนฟอนไฟ

ใครหรือกอดเก็บความเศร้าเอาไว้
ในเมื่อความสุขก่อนเก่าบดบังเสียหมดแล้ว
ความสุขทำให้เราลืมมันไป
เรามองและเห็นด้านตรงข้าม ด้วยสิ่งที่เรามี
โลกเรียกสิ่งนี้อย่างไร เป็นเรื่องของโลก
เรา
เรียกสิ่งเดียวกันนี้ว่าอย่างไร ย่อมเป็นเรื่องของเรา


2.

เธอผู้เหลาดินสอ

"ดูสิ นกกางเขนตัวเดิมยังคงนำสีขาวดำมาแตะแต้มเถาเฟื่องฟ้าดอกชมพู
รู้ไหม ถึงวันนี้มันทำความรู้จักกับนกเขาเล็กคู่นั้นแล้ว แม้ยังไม่สนิทสนม
ดูมันวางท่าทั้งที่ทำไม่รู้ไม่ชี้เข้าไปร่วมกลุ่ม
รอยยื้มเกิดขึ้นได้ง่ายอย่างนี้เอง


ม่านบาหลีที่ย้ายมาแขวนริมระเบียงตายหมดแล้ว
ใครๆบอกว่าอย่าให้มันยาวจนถึงดิน
ไม่อย่างนั้นมันจะเติบโตรวดเร็วจนยากจะกำจัด
ฉันเห็นกับตา ไม่น่าเชื่อว่าต้นไม้เลื้อยอ่อนโยนบอบบางจะโตมาเป็นเถาวัลย์ป่า
ครอบครองอาณาเขตกว้างขวางได้เพียงนั้น


หมู่เมฆอ้วนพีหายไปแล้ว ไม่ช้าน้ำเหนือก็จะหายไปด้วย
ลมเย็นๆแวะมาเยี่ยมเยียนบ้านขาว ฉันเฝ้าคอยฤดูหนาวอย่างจดจ่อ
อากาศแห้งเย็นทำให้สบายตัว อาการปวดหัวเพราะความชื้นจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
สักพัก เราจะรู้ว่ามีต้นไม้ใหญ่กี่ต้นที่ต้องตายหลังน้ำท่วม
ฉันหวังอย่างที่สุดว่าตะเบบูญ่าจะไม่เป็นไร"


3.

ดูนั่น ใครโอบกอดความสุขเก่าๆอยู่ในห้อง
และยื่นมือรองรับความสุขใหม่ๆที่คำถามจากเธอนำมาให้
ความเศร้าได้แต่เมียงมองอย่างผิดหวัง
บ่อยครั้ง เราแลกบางสิ่งเพื่อบางอย่าง
และบางครั้งเรายอมเสียบางอย่างไป
เพราะปรารถนาจะได้สัมผัสรายละเอียดความงดงามของโลก

จากมุมหนึ่งในบ้านหัวใจ เรามองออกไป
ด้วยสิ่งที่เรามี




*****


บทกวีสี่บรรทัดแรกรับแรงบันดาลจากงานแปลของเพื่อนเขียน "มนุษย์แปลกหน้า" หรือ มนุษย์ติสต์

Thanks Tist.


17.11.54

คนตัวเล็กๆ One Little Woman


photo by Laura Monahan
ผู้หญิง ตัวเล็กคนนั้นชื่อระวี เธอลุกขึ้นจากที่นอนก่อนระวีบนฟ้าจะปรากฏ คนตัวเล็กๆเลี้ยงลูกสองคนมาลำพังกว่ายี่สิบปี สามีโดนรถกระบะชนตายขณะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เขากระเด็นไปชนตึกแถว รุนแรงจนสมองเละ
หลังงานศพ เธอนิ่งมองลูกสาวเล็กๆสองคนอยู่นานนับชั่วโมง แล้วเธอก็หยุดร้องไห้
*
ระ วีมีแม่เป็นอัมพฤกษ์ ลูกสาวโตขึ้นเป็นสองสาวสวย คนโตกำลังจะจบปริญญาตรี คนเล็กอยู่ปีสอง ลูกคือชีวิตจิตใจของระวี ทั้งสองเปรียบเสมือนเหรียญรางวัลที่ระวีกลัดไว้บนอกไม่ว่าในยามหลับ หรือตื่น แต่เข็มกลัดก็คือเข็มกลัด มันทำให้เธอเจ็บ บางครั้งเลือดไหล บางครั้งกลัดหนอง บางครั้งไม่มีทั้งเลือดทั้งหนอง ที่แน่ๆเข็มกลัดเกียรติยศที่แสดงออกซึ่งความภาคภูมิใจจนเรียกได้ว่าหยิ่งยะโสของคนเป็นแม่ก็ทำให้เธอปวดแปลบอยู่เกือบตลอดเวลา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ความสวยสดของลูกเหมือนดูดกลืนไปจากแม่ ระวีผอมเกร็ง ใบหน้าซีดเผือด แต่เธอมีท่าทีกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นในการงาน ต้องเป็นผู้สังเกตการณ์ระดับเยี่ยมยอดเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเธออ่อนล้ากับงานแม่บ้านเพียงใด งานซักรีด กวาดถูล้างขัดและทำกับข้าวสามมื้อ ความซ้ำซากเหนื่อยหน่ายแทะกินระวีไปทีละเล็กละน้อย
วันนี้ ระวีขอกลับบ้านสองชั่วโมงก่อนเลิกงาน ลูกสาวคนเล็กใฝ่ฝันอยากเป็นนักลีลาศระดับชาติ ค่าเรียนลีลาศเพื่อให้ลูกสาวไปถึงฝัน ระวีไม่กล้าจดลงในสมุดบัญชี
เธอจ้ำอ้าวแล้วออกวิ่งทันเหยียบบันไดหลังของรถสองแถว ห้อยต่องแต่งเสี่ยงชีวิตอยู่ชั่วขณะก็ตั้งหลักได้ โชคดีที่ทันรถคันนี้ จะมีเวลาเพิ่มสักหน่อยเพื่อจะแต่งตัวให้สวย ไม่ให้ลูกสาวได้อาย นึกถึงเสื้อใหม่ราคาร้อยเก้าสิบเก้าสีชมพูหม่นกับกระโปรงสีดำตัวที่ดีที่สุดที่นายหญิงให้มา เธอคงจะดูดีพอใช้ อย่างไรก็ดีกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ผ้าถุงกับเสื้อเก่าๆตัวนี้ ระวีไม่คิดจะตัดชุดใหม่ เธอทุ่มเทเงินสี่พันลงไปสำหรับเสื้อใช้แข่งลีลาศระดับมหาวิทยาลัยของลูกสาว
เสียงแจ๋นดังเข้าหู แม่ ไม่ต้องห่วงหรอก แม่ไม่สบาย ชั้นจะ พาแม่ไปหาหมอ ขออย่างเดียว ไม่สบายเมื่อไหร่ ช่วยบอกเร็วๆหน่อย เข้าใจมั้ยแม่ ไม่ใช่ปล่อยไว้ยังงี้เธอ เหลือบมองคนพูด หญิงวัยกลางคนพูดกับหญิงชราที่นั่งติดกับเธอ เมื่อเธอแก่ เธอจะไม่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับหญิงชรา ลูกสาวที่จะเป็นนักลีลาศระดับชาติอาจเป็นถึงแชมป์โลก เธอจะไม่ต้องขึ้นรถสองแถวทั้งๆที่เจ็บป่วย คนเราทำมายังไงก็ได้ยังงั้น ถ้าหญิงชราทำทุกอย่างเพื่อลูกเหมือนอย่างเธอ ก็คงไม่ลงเอยแบบนี้ เธอขยับตัวออกมาไม่ให้แขนแนบชิด
ชั้นไม่ได้เป็นโรคติดต่อหรอกหญิงชราพูด คนเป็นลูกสาวตวัดตาเขียวมาที่เธอ ระวีเมินมองไปนอกรถ
ถึงแฟลตที่อยู่ เธอสาวเท้าก้าวเร็วๆตรงไปขึ้นบันได ใจเธอเดินหน้ารวดเร็วกว่าร่างกาย เธอเห็นตัวเองอาบน้ำเสร็จแล้วกำลังจะแต่งหน้าแต่งตัว เธอไขกุญแจประตูห้อง แม่ที่เป็นอัมพฤกษ์ถูกขังอยู่ในห้องเท่ารูหนูจากเช้าจนค่ำเกือบทุกวัน แม้แต่ตอนปิดเทอม ลูกสาวคนโตจะออกไปทำงานเป็นพนักงานขายที่ห้างสรรพสินค้า หาเงินซื้อเสื้อผ้าและของแต่งตัวที่เธออยากได้ ลูกสาวคนเล็กต้องไปฝึกซ้อมลีลาศ ระวีเตือนตัวเองว่าเธอควรหาข้าวให้แม่กินก่อนทำอย่างอื่น
ประตูเปิด แม่คว่ำหน้าอยู่ระหว่างเก้าอี้เข็นกับเตียง เธอถลาเข้าไปประคองแม่ที่นอนอยู่ในสภาพผักอย่างที่ลูกสาวคนเล็กเรียก สีหน้าแม่บิดเบี้ยวเมื่อพยายามจะพูด ไม่เป็นไรแม่ เธอทั้งยกทั้งดึงแม่ขึ้นบนเตียง หิวยังแม่ ชั้นจะหาให้กิน อันที่จริงของกินก็ทำไว้แล้วตอนเช้า แต่ถ้าใครกลับเร็ว แม่ก็จะได้กินอาหารอุ่นๆ
แม่จำได้ใช่มั้ย ค่ำนี้หลานลงแข่งลีลาศ ชั้นต้องรีบ
หญิงชรายกมือที่ยังยกได้โบกไล่ เป็นที่รู้กันว่าความหวังของครอบครัวอยู่ที่ไหน

ลูกสาวคนที่ลงแข่งลีลาศปิดหน้าร้องไห้อยู่ในรถแท็กซี่ เธอไม่เข้ารอบ ความหวังครั้งนี้หายไป เงินจำนวนไม่น้อยก็หายไปด้วย ไม่เป็นไร คนเราล้มเหลวได้ทุกคน ลูกต้องเข้มแข็ง
แล้วทำไมไอ้คนที่ได้มันไม่ล้มเหลวเหมือนหนูล่ะแม่ แข่งทีไรมันชนะทุกที
ต้องมีวันของเราซักวัน
เนี้ย เพราะหนูไม่ได้ศึกษาเหมือนอย่างพวกมัน รู้มั้ยแม่ เนี้ย พวกมันดูวีดิโอแข่งระดับโลกกันเอาเป็นเอาตาย แล้วหนูล่ะ คอมก็มีตัวเดียว พี่เค้าเอาแต่ทำรายงาน หนูแทบไม่ได้ใช้
ระวียกมือแอบปาดน้ำตา
พี่เค้ากำลังจะจบ ต้องทำวิทยานิพนธ์ เอาเถอะ แล้วแม่จะเก็บเงินซื้อให้หนูเครื่องนึง
จริงนะแม่ลูกสาวหยุดร้องไห้เหมือนปิดสวิทช์
ลูกเอ้ยลูกเธอยกมือขึ้นลูบหัวลูก ไม่ได้เห็นแววตาเวทนากึ่งดูแคลนของคนขับแท็กซี่ที่มองผ่านกระจกมองหลังมาที่เธอ
*
ลูกสาวคนโตสะสวยกว่าลูกคนเล็ก แม่จ๋า งานที่หนูติดต่อไว้น่ะ เงินเดือนนิดเดียว สี่พันห้าเอง น้อยกว่าแม่ตั้งเยอะ
ก็ทำไปเถอะลูก กว่าแม่จะได้เงินเดือนหมื่นสอง แม่ก็เริ่มมาจากสองสามพัน
แม่ส่งหนูเรียนแทบตาย แล้วได้เงินเดือนแค่เนี้ยเธอเบะปาก งี้หนูไปเป็นแม่บ้านอย่างแม่ไม่ดีกว่าเหรอจ้ะ
ระวีตาโต หัวใจเหมือนถูกปลิด อย่าพูดยังงั้นนะลูก พูดได้ยังไง อยากจะฆ่าแม่เหรอ แม่ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลูกเป็นเหมือนอย่างแม่ แม่ไม่มีทางเลือก แต่ลูกมี
ทางเลือก ที่จริงหนูก็มีทางเลือกอยู่มั่งหรอก ไว้ให้หนูคิดดูก่อนแล้วจะบอกแม่นะ
ลูกสาวคนโตเลือกทางของเธอและจากไปทำสิ่งดีๆให้กับโลก กินอยู่ฟรี มีอนาคต แต่ไม่มีเงินเดือน อย่างน้อยเธอก็ได้ทำสิ่งที่เธออยากทำ จากนี้เธอจะได้อยู่อย่างชิดใกล้กับชายคนรัก
สิ่งเดียวที่ได้มาเมื่อลูกสาวคนโตจากไปคือพื้นที่ใช้สอยในห้องแคบๆเพิ่มขึ้น ห้องที่เป็นของเธออย่างแท้จริงตราบเท่าที่ยังจ่ายค่าเช่า
*
ลูกสาวคนเล็กพาเพื่อนชายมาที่ห้องไม่ใช่เพราะอยากให้ยายกับแม่รู้จัก แต่เพราะเขาตะโกนใส่หน้าเธอว่า ทำไมผมไปบ้านเธอไม่ได้ อยู่กับผู้ชายเหรอไงบทพิสูจน์ที่ต้องพิสูจน์
หลัง พบหน้ายายและแม่ เขาก็นั่งนิ่งอย่างอึดอัด ระวีทำกับข้าวที่ระเบียงเล็กข้างหลัง ไม่งั้นกลิ่นอาหารจะอบอวลจับตัวเป็นน้ำมันอยู่ในห้องที่ใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องรับแขกและห้องนอน เธอน่าจะชวนเพื่อนของลูกกินข้าวเย็น ระวีเปิดประตูไม้อัดบวมเปื่อยเข้ามาในห้อง
เธอยืนตัวแข็งฟังลูกสาวพูดกับเพื่อนชาย
เนี้ย พูดทำมาย รู้ละๆ เค้าฝึกเต้นแทบเป็นแทบตายไม่ใช่เพราะจะไปให้พ้นๆหรอกเหรอ
ยายส่งเสียงร้องตกๆหล่นๆอยู่บนเตียง
ระวีถอยกลับออกไป ค่อยๆตักกับข้าวใส่จานอย่างเงียบๆ



*


"คนตัวเล็กๆ"ต่างกับสองเรื่องแรกอย่างสิ้นเชิง ถ้าอยากอ่านตามลิงก์ข้างล่างนี้ไปเลยค่ะ
"แสงแดดในห้องใต้หลังคา" http://jasminemoment.blogspot.com/2011/08/beautiful-soul.html
"บนจุดตัดของเส้นรุ้งเส้นแวงสองเส้นนั้น" http://jasminemoment.blogspot.com/2011/09/blog-post_16.html

11.11.54

มารามัลลี Maramalli



กุมภาพันธ์
ใครส่งถ้อยคำมาเตือนก่อนออกเดินทาง
"กาสะลองบานแล้วรู้ตัวหรือเปล่า"


คำ
ระบายสีขาวลงบนภาพร่างดอกไม้บอบบาง
กระจายกลิ่นหอมหวานตราตรึง
ดอกปีบ คำที่ฉันเรียกตามยายและแม่
"มารามัลลี" ชื่อสุดพิเศษที่มีชื่อสามัญว่า
'ทรีจัสมิน'




ผ่านหน้าต่าง ฉันมอง
ต้นปีบสูงเจ็ดเมตรที่ลงไว้ใต้แดดร้อนแรงแห่งเมษาออกดอกนานแล้ว
ดอกขาวสวยจืด ใบเขียวอ่อน ลำต้นชะลูดระเหิดระหง
แสงเงา วางเส้นสายลูกไม้ลายปีบลงบนผืนหญ้า
ส่ายไหวอยู่ในสายลมโชย


กาสะลองที่เพิ่งออกดอกต้นนั้น
นานไหมกว่าจะได้จิบกาแฟถ้วยเช้าใต้ร่มเงาเธอ
ฉันหวัง
ให้เธอพลันทิ้งดอกร่วงหล่นยามคุณก้าวย่างออกมาพร้อมกาแฟถ้วยแรกของวัน
เตือนให้นึกถึงดอกปีบในสวนนี้

บางที คุณจะนึกเห็นภาพหญิงผู้เขียนบทกวี
ก้มเก็บดอกปีบใต้ฟ้าใสแสงจ้าเดือนกุมภา
มารวมช่ออยู่บนเสื่อใต้ร่มตะเบบูญ่า
ก่อนนำไปวางไว้ตามมุมต่างๆในบ้าน




"ดอกปีบยิ่งห่างต้นยิ่งหอมแรง เช่นเดียวกับความคิดถึง"
คุณบอกกล่าว
ความจริงเป็นอย่างนั้น ฉันไม่มีข้อโต้แย้ง






Tree Jasmin, Maramalli (Millingtonis Hortensis)

2.11.54

บทกวีข้างถ้วยชา




รอหรือไม่ใครบอกไว้ในไม่ช้า

ข้างข้างถ้วยน้ำชาใกล้หน้าหนาว

ก่อนตะเบบูญ่าแต้มฟ้าพราว

เจือหมอกขาวบทกวีที่คุณวาง


ม่วงดอกน้อยเล่าว่าคุณมาเยี่ยม

วันน้ำเปี่ยมแสงเรื่อเมื่อยามสาง

เฝ้าวนเวียนก้าวย่างช่างเปราะบาง

ท่ามโอบอ้อมอ้างว้างกลางดอกใบ


คล้ายมาเก็บรายละเอียดละเลียดรส

กาแฟขมยังสดในกาไหม

กาแฟหวานถ้วยนี้ฝีมือใคร

ชากาแฟอื่นใดไม่ถามกัน


เก็บดอกไม้จากป่าเอามาฝาก

เป็นเพื่อนยากม่วงเช้าราวปลอบขวัญ

คล้ายเดือนปีที่ผ่านไปให้รางวัล

ของกำนัลเผื่อกาลที่ผ่านมา


ฝันใครหรือเคลื่อนไหวในดงปีบ

พรูดอกปีบใบเขียวใครเหลียวหา

นางพรายน้อยหยอกเย้าเคล้าลมพา

แทนเสียงหนึ่งสกุณาที่เคยชิน


ระเบียงนี้เก้าอี้ที่เคยนั่ง

รอยวันยังฝังแน่นเช่นแผ่นหิน

ทุกก้าวย่างประทับลงบนผืนดิน

คือทั้งสิ้นทั้งปวง


... ที่หวงไว้


ในโลกแสนเดียวดาย

เราจะเกิดและตายหลายครั้งไหม

หรือเกิดมาเพื่อจะรู้ว่ามีใคร

อยากให้เราหายใจไปนานนาน


*