Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


28.12.55

คริสต์มาสปีนี้ / Christmas this year




บางปีเรามีคริสต์มาสที่ดี บางปีก็ไม่
บางทีเรามีผู้คนคึกคักรอบราย บางทีก็ไม่
เมื่อปีหนึ่งสิ้นสุดลง อีกปีหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร ณ รอยต่อระหว่างปี
เราหวังว่า ปีต่อไปจะเป็นปีที่ดีขึ้น
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้น

*******

ที่บ้านเคยฉลองคริสต์มาสกันในวันคริสต์มาสอีฟ คืนวันที่ 24
แต่ปีนี้เราฉลองกันวันคริสต์มาสคืนวันที่ 25
บิ๊กเจ มาจากสวีเดนถึงกรุงเทพหกโมงเช้าวันที่ 24
แจนกับเจสัน เจ้าสาวเจ้าบ่าวเดือนพฤษภาจากออสเตรเลีย ถึงกรุงเทพก่อนสองทุ่มวันเดียวกัน

***
กลางดึกคืนนั้น จัสลงมือทำสวีดิชมีทบอลและแตงกวาดอง
สูตรของสุภาพสตรีที่เป็นตัวละครเอกใน "แสงแดดในห้องใต้หลังคา"
ส่วนซอสสีน้ำตาลจะทำก่อนเสิร์ฟ



อาหารจานเริ่ม บิ้คเจ หอบแฮร์ริ่งสามชนิดจากสวีเดน
แซลมอนรมควันทั้งแบบเย็นที่เป็นสีชมพูแซลมอน 
และแบบอุ่นที่รมควันแบบสุก

จานนี้เป็นจานที่ซื้อเองจากฟู้ดแลนด์
แซลมอนรอมควันแบบเย็น ก่อนทานบีบมะนาว บดพริกไทยดำ โรยหอมใหญ่สับกับใบดิล (ผักชีลาว)
หรือทานกับซ้อสที่มีมัสตาร์ด มีรสหวานหน่อย
พบว่าที่แซลมอนที่บิ้คเจเอามาเนื้อแน่นกว่าและอร่อยกว่าที่ซื้อหาที่นี่มาก



จานนี้เป็นแซลมอนรมควันแบบสุกที่เรียกว่า วอร์ม สโม้ค
ทานกับซ้อสที่มีมัสตาร์ดเป็นส่วนผสม
อร่อยจนต้องหลับตา

จำพวกปลานี้ทานเป็นจานเริ่มกับไวน์ขาว ที่มาถึงช้ากว่ากำหนด
^ ^


สลัดมันฝรั่งที่ต้มไว้ตอนทำมีทบอล แช่ตู้เย็นไว้
ก่อนเสิร์ฟถึงคลุกกับมายองเนสเดรสซิ่งแบบไม่หวานและใบหอมซอย
ทานกับมีทบอลและแฮม


ลงมือทำบราวน์ซ้อสร้อน ๆ สำหรับมีทบอล
แตงกวาหั่นบาง ๆ ดองกับเกลือ น้ำส้ม น้ำตาลทิ้งไว้ตั้งแต่คืนก่อน

แฮร์ริ่งสามอย่างในขวดที่บิ้คเจเอามา
 แฮมนี้อบแบบเสียบกานพลู ทานกับดีชองมัสตาร์ด
ไม่ได้อบเอง ซื้อหามาจากฟู้ดแลนด์เป็นประจำ


ของหวานเป็นพุ้ดดิ้งกับครีมซอสฝีมือคุณแม่ของเจสัน
หอบหิ้วมาจากควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย ^ ^

เครื่องดื่ม 
แอคคราวิท สวีดิช สแน้ป เหล้าร้อนบาดคอที่ต้องแช่เย็นไว้ในช่องแข็งก่อนดื่ม
ที่บิ้คเจชวนดื่มให้กับการมารวมตัวของเรา
ไวน์แดงจากออสเตรเลีย
ไวน์ขาวจากกรุงเทพ
และเบียร์ของพวกผู้ชายในยามดึก
มีแขกได้รับเชิญมาร่วมอีกสามคน

^ ^

เจดีอยู่ด้วยช่วยกัน เจเคมาถึงตั้งแต่เย็นกับเพื่อนสาว

คริสต์มาสปีนี้เป็นคริสต์มาสที่ดี


ขอส่งความสุข ความรักและความปรารถนาดีถึงทุกคนที่แวะมานะคะ


*







20.12.55

บางบทตอน / Lonely Dragon: The Sentimental Swordsman



..ลมหนาวราวมีดคมกริบ ถือพสุธากว้างใหญ่ต่างเขียง เห็นชีวิตทั้งหลายเป็นปลาเป็นเนื้อ
หิมะโปรยปรายทั้งแผ่นฟ้าแผ่นดิน ใช้ห้วงเวหาต่างเตาหลอม ละลายทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นสีเงิน ...

หิมะ ใกล้หยุดตก ลมยังไม่สงบ
รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจากทิศอุดร ล้อรถหมุนวนบดทำลายหิมะน้ำแข็งแตกกระจาย
แต่ไม่อาจบดทำลายความอ้างว้างวังเวงของแผ่นฟ้าแผ่นดิน

... ภายในรถแม้อบอุ่นยิ่ง สุขสบายยิ่งแต่การเดินทางครั้งนี้ยาวไกลเกินไป เงียบเหงาเกินไป
เขารู้สึกเหนื่อยหน่าย มิหนำบังเกิดความรังเกียจ
ในชีวิตของเขาเกลียดชังความเงียบเหงาที่สุด แต่กลับอยู่กับความเงียบเหงาเป็นนิจสิน

... ชีวิตคนความจริงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ว่าผู้ใด ล้วนอับจนปัญญา

... ขวดสุราว่างเปล่าแล้ว เขาค่อย ๆ ล้วงมีดเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง เริ่มแกะสลักท่อนไม้ท่อนหนึ่งเป็นรูปคน
คมมีดบางและคมกริบ นิ้วมือของเขาเรียวยาวและมีพลัง
ภายใต้ฝีมือแกะสลักอันชำนาญ เกิดรูปเหมือนของหญิงนางหนึ่ง ใบหน้าและลายเส้นอ่อนช้อยและงดงาม คล้ายมีชีวิตก็มิปาน
เขามิเพียงให้ลายเส้นอันรัดรึงใจ หากยังให้ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณแด่ 'เธอ' ด้วยฃีวิตและจิตวิญญาณของเขา ได้มลายหายไปอย่างเงียบงันใต้คมมีดนั้น ...
...
เขาขุดหลุมบนพื้นหิมะหลุมหนึ่ง 
ฝังรูปสลักที่เพิ่งสลักเสลาจนเสร็จสิ้น จากนั้นยืนอยู่หน้าหลุมอย่างซึมเซา
เมื่อเขาฝัง "นาง" ลงไป ชีวิตของเขาเองก็แปรเปลี่ยน ไร้คุณค่าความหมาย





... ชายฉกรรจ์คนขับรถม้ากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
"ท้องฟ้าใกล้มืดค่ำ หนทางข้างหน้ายังอีกไกล รีบขึ้นรถเถอะ"

...
"ดินฟ้าอากาศเช่นนี้ คิดไม่ถึงยังมีคนออกเดินทางกลางฟ้าน้ำแข็ง ดินหิมะ
ข้าคิดว่ามันต้องเป็นคนที่เดียวดายยิ่ง น่าเวทนายิ่ง"

คนขับรถม้าไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่ลอบถอนใจและคิดว่า
หรือท่านไม่ใช่คนที่เดียวดายยิ่ง น่าเวทนายิ่ง

...

ใต้ที่นั่งในรถมีกองไม้สนเนื้อแข็งเป็นจำนวนมาก
เขาเริ่มแกะสลักอีกคราอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เขาแกะสลัก
คือคน ๆ เดียวกันตลอดกาล






*


จาก หนังสือที่กำลังอ่าน "มีดบินไม่พลาดเป้า"
ที่รู้จักกันในชื่อ "ฤทธิ์มีดสั้น" โดย โกวเล้ง มังกรเดียวดาย
เล่มที่มีแปลโดย น.นพรัตน์ 

12.12.55

เก็บท้องฟ้าเอาไว้ มิใช่ดาวเดือน / December Sky



เย็นนี้ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส
ปุยเมฆขาวเบาบางเหมือนดอกฝ้ายบาน
หอมหวานดอกไม้ลอยระลอกอ่อนมากับสายลมโชย
โปรยปรายช่วงเวลารื่นรมย์ราวตกอยู่ในห้วงรัก


ค่ำคืนธันวาเนิ่นนานผ่านพ้น
หลังหลายมรสุมฤดูฝน หากบางความฝันยังคงอยู่ในฤดูหนาว
แม้ไม่คว้าเดือนดาว
ท้องฟ้านั้นกลับกลายเป็นของเรา


ความรักทำให้คนที่รักและสิ่งที่เรารักยิ่งใหญ่
เช่นนี้ เราจึงมองฟ้าและเดือนดาวที่อยู่ไกลสุดตา
ด้วยไม่อาจหาวัตถุสิ่งของใดมาเปรียบเทียบ


คืนวันเลยผ่าน ฟ้ายังคงอยู่
เพียงมองไปข้างบน
หรือข้างใน




ใช่แล้ว เย็นนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
ริ้วเมฆมีใยบาง ๆ เหมือนแถบริบบิ้นผ้าแก้ว
แต่ปุยเมฆดอกฝ้ายอยู่ห่างเกินกว่าจะมัดเป็นช่อ
... และผูกริบบิ้น


เก็บท้องฟ้าเอาไว้ มิใช่เดือนดาว




ฉันเก็บท้องฟ้าไว้แล้ว


*



December Sky one evening , Bangkok, Thailand 


9.12.55

แดนฝันอันแสนไกล (นวนิยาย) / The Far Pavilions (Novel)

The Far Pavilions เรื่องเล่าโดยย่อ
นวนิยายรักภายใต้ขนมธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนในอินเดีย
ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างผู้ถูกปกครองและผู้ปกครอง
ช่วงอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
จนเกิดการปฏิวัติเพื่อเอกราช
โดย เอ็ม.เอ็ม.เคย์ เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เติบโตและใช้ชีวิตที่อินเดียจนหลังช่วงต้นของชีวิตแต่งงาน
หนังสือเล่มนี้ทำเงินให้อินเดียอย่างมหาศาลจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว



เรื่องย่อ

สามีภรรยานักพฤกศาสตร์ชาวอังกฤษเดินทางไปทั่วอินเดียเพื่อศึกษาค้นคว้าบันทึกเกี่ยวกับพันธุ์ไม้
ภรรยาคลอดลูกติดเชื้อแล้วตาย ต่อมาสามีก็โดนอหิวาตกโรคคร่าชีวิตไปอีกคน
แอช หรือแอชตัน มาร์ตินลูกชายจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า
ก่อนตายคนเป็นพ่อสั่งเสียซีต้า พี่เลี้ยงชาวฮินดูของแอชให้พาเขาไปหาญาติชาวอังกฤษ
เพื่อจะพบว่าพวกเขาถูกฆ่าตายทั้งหมด
ซีต้าจึงเลี้ยงแอชเหมือนลูกตัวเองและพยายามปกป้องเขาให้พ้นจากอันตราย

ซีต้าพาแอชมาที่อาณาจักรกุลโกฐ (Gulkote) เด็กชายแอชลืมเชื้อชาติอังกฤษของเขาแล้ว
ใช้ชื่อว่า อโศก เติบโตเช่นเด็กชายชาวอินเดียทั่วไป
แอชมีเพื่อนชื่อ ซาริน ลูกชายหัวหน้าคนเลี้ยงม้า
แอชในชื่ออโศกเป็นมหาดเล็กของพระยุพราชและได้เป็นเพื่อนกับอาจูลีเจ้าหญิงผู้ถูกทอดทิ้ง
(จำได้ว่าแม่ของเธอเป็นหญิงอังกฤษ สายเลือดจึงปนเปื้อน)

แอชหรืออโศกพบว่ามีการวางแผนลอบปลงพระชนม์พระยุพราช
ตัวเขาเองก็จะถูกฆ่าด้วย จึงต้องหลบหนีไปกับซีต้าด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนมิตรในวัง
เขาสัญญากับเจ้าหญิงว่าจะกลับมาหาเธอ
ระหว่างหลบหนี ซีต้าผู้เจ็บป่วยเปิดเผยความจริงก่อนตาย
แอชได้รับจดหมายและเงินที่พ่อทิ้งไว้ให้

แอชหลบหนีจนไปถึงหน่วยทหารตามที่ซีต้าบอกไว้
ทุกคนจำเรื่องราวได้ เขาเข้าพบผู้มีอำนาจและถูกส่งตัวเดินทางไปศึกษาในประเทศอังกฤษ
แอชได้รับการฝึกฝนให้เป็นทหาร กลายเป็นคนอังกฤษเต็มตัว

เขากลับอินเดียเมื่ออายุสิบเก้า คุมกองร้อยโดยมีซารินเพื่อนเก่าเป็นแนวหน้า
แอชถูกฉีกทึ้งระหว่างความเป็นนายชาวอังกฤษ
กับความเป็นอินเดียในวัยเด็กในนามอโศก

หลังจากไปทำหน้าที่ในอัฟกานิสถาน
แอชได้รับมอบหมายให้ไปดูแลรักษาความปลอดภัยในงานอภิเษกสมรสที่การิดโกฐ (Kalidkote)
ซึ่งก็คือการรวมตัวของกุลโกฐที่เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กกับแคว้นเพื่อนบ้าน
เจ้าหญิงทั้งสองที่จะเข้าพิธีคือ อาจูลีกับพี่สาวของเธอ
แอชได้พบเจ้าหญิงอีกครั้งและตกหลุมรักเธอ
เขาเปิดเผยว่าที่แท้แล้วเขาคืออโศก
แต่ไม่อาจเปิดเผยความรักที่มีต่อเธอได้เพราะเธอเป็นคู่หมั้นของชายอื่น
ทั้งสองต่อกันไม่ติด ความแปลกเปลี่ยนเข้ามาขวางกั้นคนทั้งสอง
อีกครั้งที่แอชสืบรู้ว่ามีการวางแผนฆ่าโจห์ลีเจ้าชายองค์เล็ก
ในขณะเดียวกัน เขาถูกกดดันบีบคั้นด้วยความรักที่มีต่ออาจูลี

จนกระทั่งทั้งสองไปติดอยู่ในพายุ เขาจึงได้บอกรักเธอและชวนให้หนีไปด้วยกัน
อาจูลีก็บอกว่ารักเขาแต่ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ที่มีต่อพี่สาว
และภาระสำคัญที่จะต้องเชื่อมสองอาณาจักรเข้าด้วยกัน
แอชต้องทนเห็นเธอเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับราชาแห่งบิธอร์
ก่อนลาจาก

สองปีต่อมา แอชทราบข่าวว่าราชาพระสวามีอาจูลีสิ้นพระชนม์
และเธอจะต้องตายตามสามีด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ หรือไม่ก็ถูกเผาทั้งเป็น

แอชกับพรรคพวกได้ช่วยอาจูลี่จากพิธีสตี
แต่คนที่ติดตามไปช่วยถูกฆ่าตายเกือบหมด
แอชยืนยันที่จะแต่งงานกับหญิงที่เขารัก ทุกคนรวมทั้งอาจูลีพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เป็นเรื่องไม่จำเป็นและขัดต่อกฏของพระผู้เป็นเจ้า

แอชถูกส่งตัวไปเป็นสายลับในอัฟกานิสถาน
อังกฤษต้องการแผ่ขยายอาณาเขตครอบครองไปที่นั่น

หลังการลุกฮือในคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน
แอชกับอาจูลีก็ออกเดินทางแสวงหาแดนสวรรค์ของพวกเขาที่เทือกเขาหิมาลัย
ที่โล่งกว้างไร้ขอบเขต ปราศจากอคติ
ที่ซึ่งเขาทั้งสองจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข


*




7.12.55

เมื่อฉันถ่ายรูปคนแปลกหน้า / When I took pictures of a stranger, Delhi India

เหตุเกิดขึ้นเพราะหนังสือเล่มนี้


เอ็ม.เอ็ม. เคย์ เป็นนักเขียนหญิงชาวอังกฤษที่เกิด เติบโต และใช้ช่วงต้นของชีวิตแต่งงานอยู่ในอินเดีย
ช่วง บริทิช ราช (British Raj) ตอนอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
ฉันสนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของประเทศเก่าแก่ที่มีความขัดแย้ง
ขนบธรรมเนียม ประเพณี สถานภาพและสถานการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คน
โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในประเทศที่เป็นเมืองขึ้น
วิธีง่ายที่สุดที่จะได้เรียนรู้อย่างเพลิดเพลินก็ด้วยการอ่านนวนิยายดี ๆ
ที่มีฉากหลังและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

เอ็ม.เอ็ม.เคย์รักประเทศนั้น เธอรู้เรื่องราวและปมปัญหาอย่างลึกซึ้ง
หนังสือเล่มนี้รับจากมือของท่านผู้ใหญ่ชาวอินเดีย ดร.อิดรัค บัตตี้

ท่านและภรรยาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยในนิวเดลลี ใช้ชีวิตสมถะมาก
บ้านของท่านเต็มไปด้วยหนังสือ
มีหนังสืออยู่ในตู้ บนหิ้ง บนโต๊ะ บนพื้น ที่บันได
มีหนังสืออยู่ทุกที่ เวลาเดินก็ต้องหลบ ๆ หลีก ๆ หนังสือ
เวลาจะนั่งก็ต้องเลื่อนหนังสือออกไปหน่อยก่อนนั่งลงตัวลีบ
ท่านจบจากออกซ์ฟอร์ด และภรรยาของท่านจบจากซอร์บอนน์
ท่านรับทำบางโครงการพิเศษกับยูเอ็นเมื่อจำเป็น
ท่านอยู่ในวรรณะกษัตริย์
แต่ก็บอกทันทีว่าอย่าตื่นเต้นเลย กษัตริย์แต่ละพระองค์ต่างมีพระชายาหลายองค์
ลูกหลานย่อมมากเป็นธรรมดา
 วันที่ไปบ้านท่านครั้งแรก ภรรยาผู้ใจดีสวมสาหรี่ที่มีรอยกร่อนบางจนเป็นรู
ทั้งสองไม่สนใจเปลือกนอก
ท่านทั้งสองโดดเด่นเป็นตัวเองอย่างสูง พบแล้วก็ประทับใจไม่ลืมเลือน
ฉันได้หนังสือหลายเล่มจากท่าน และยังได้พบเจอเวลาท่านเดินทางมาเมืองไทยอีกหลายครั้งหลายหน

หนังสือเล่มนี้เนื้อเรื่องเข้มข้น เต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งเรื่องเชื้อชาติ วรรณะ สถานะ วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อตัวละคร
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปฎิวัติเพื่ออิสรภาพของอินเดีย

ในหนังสือกล่าวถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่ป้อมแดง (Red Fort) ระหว่างทหารอังกฤษกับอินเดีย
.ตัวหนังสือเขียนไว้ว่า
"ที่บันไดในป้อมแดงแห่งนี้ เลือดของคนอังกฤษและอินเดียไหลรวมกันลงมาเป็นสาย"

บอกตนเองว่า จะต้องไปเรดฟอร์ทให้ได้
จะไปดู จะไปให้ถึงบันไดนั้น

แล้วก็ได้ไป

เรด ฟอร์ท สร้างโดยกษัตริย์โมกุล




เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่น้อย เราไปถึงบันไดนั้น มันเป็นบันไดแคบ ๆ และโค้ง
ฉันยืนมองแล้วนึกถึงสายเลือดที่ไหลลงมา
ไม่อาจแยกเชื้อชาติ
รวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความตาย

เวลานั้น ไม่ได้คิดถึงเจ้าหญิงที่เป็นนางเอกของเรื่องเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนกลับ สายตาที่ไม่หยุดนิ่งเพราะมีอะไร ๆ ให้ดู ให้จำมากมาย
ก็พบบางคน

บางคนที่เตือนให้นึกถึงเจ้าหญิง

เธอปรากฏตัวที่ตรงนี้เลยค่ะ


หญิงสาวบอบบางคนนั้นสวมใส่สาหรี่สีเขียวมรกตปักลายทอง 
มีผ้าคลุมที่เธอจับไว้ให้ปิดหน้าเกือบมิด ที่นั่นลมแรงมาก
ฉันอยู่ไกลออกไปมาก  สนามหญ้ากว้างเขียวหนากั้นขวางเราไว้
ไม่สามารถเห็นใบหน้าส่วนที่พ้นผ้าคลุมได้
สิ่งที่ทำให้เหลือบเห็นเธอก็เป็นแสงแวบวิบไหวจากสาหรี่ในแดดจ้ายามบ่าย

ข้างหน้าเธอมีชายตัวดำ ๆ ส่วนล่างพันไว้ด้วยผ้าป่านขาวเหมือนโจงกระเบน ส่วนบนสวมเสื้อสีเดียวกัน
มีด้วยกันสามคน สองคนเดินน้ำหน้าและอีกคนตามหลัง
ข้าง ๆ เธอมีหญิงอินเดียอ้วน ๆ วัยชราสองคนประกบ
ยิ่งทำให้งงงวยและได้สติในเวลาเดียวกัน
จะต้องถ่ายภาพเธอไว้ให้ได้ กล้องของเรามีซูมที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้
บนทางยาวนั้น เธอรู้ดีว่ากำลังถูกจับจ้อง เรากำลังจะถ่ายภาพเธอ 
เธอปล่อยนิ้วที่คีบผ้าคลุมหน้าไว้ เห็นใบหน้ากันเต็มตาแม้จะไกล
เลนส์เห็นได้ดีกว่า
สองหญิงชราโวยวาย เธอใช้นิ้วคีบผ้าไว้ดังเดิม
แล้วเธอก็ปล่อยอีก เราถ่ายภาพเธอไว้เป็นชุด
เรากำลังเล่นกัน ฉันและเธอ เรารู้กัน

 บางที เราอาจอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน และมาถึงเรด ฟอร์ทในวันและเวลาเดียวกัน
หญิงชราเห็นเราแล้ว สองนางตะโกนร้องบอกผู้ติดตาม พวกเขาออกวิ่งไล่
ยังดีที่ไกลกัน
 หันไปดูไม่รู้พวกนั้นคว้าไม้ท่อนเบ้อเริ่มมาจากไหน
คงจะตีหนุ่มคนที่ให้ช่วยถ่ายภาพ
เราวิ่งไปโผล่ที่ถนนคนเดินที่นักท่องเที่ยวมาช็อปปิ้งกัน 
มีร้านขายของสองข้างทาง ผู้คนพลุกพล่าน
โชคดี
เราหันไปมอง พวกที่วิ่งตามถอดใจและคงเพราะเป็นห่วงเจ้าหญิง(ของฉัน)ด้วย
พ้นอันตราย เหนื่อยแทบตาย เราหัวเราะกันจนตัวงอ 
ก่อนกลับไปพบกับ
ความเสียใจ

ดร.อิดรัคบอกเราว่า แสงวับแวบที่สะดุดตาฉันเป็นกระจกที่ปักลงบนผ้าสาหรี่
รวมทั้งผ้าคลุมหน้าปิดมิดชิดบ่งบอกว่าเธอเป็นมุสลิม
พวกเขาเชื่อว่า การถ่ายรูปคือการเอาดวงวิญญาณไป
คนที่โดนถ่ายรูปจะมีอันเป็นไป
โบสถ์ของศาสนานี้จึงตกแต่งด้วยลวดลายเรขาคณิต
ไม่ใช่ภาพคนหรือสัตว์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้หยุดถ่ายภาพคนแปลกหน้า
เพราะทำครั้งแรกก็เป็นเรื่องใหญ่โตจนลืมไม่ลง

แต่ตอนวิ่งหนึไปบนถนนคนเดิน เหมือนกับวิ่งอยู่ในหนังเลย
อันนี้ก็จำได้ไม่ลืม

ตั้งใจจะถ่ายภาพคนแปลกหน้าบนถนนอีกครั้ง
ประสบการณ์ครั้งใหม่นี้อาจเปลี่ยนไป
 ในทางที่ดี





4.12.55

ติด / Locked in or Locked Out




เขาเดินเข้าไปในความอึกทึก เพื่อความอึกทึกที่ยิ่งกว่า
เพื่อจะพบว่าความอึกทึกที่แสวงหา
ไม่ได้เติมเต็มความเงียบ

เธอเดินเข้าไปในความเงียบ เพื่อความเงียบที่ยิ่งกว่า
เพื่อจะพบว่า ความเงียบที่ปรารถนา
ไม่ได้ลดทอนความอึกทึก

เขาและเธออาจสลับที่กัน
ทั้งสองแสวงหาสิ่งตรงกันข้าม
ทั้งสองต้องผิดหวัง

*

การติดอยู่ข้างนอกโดยไม่อาจเข้าไปข้างใน
หรือ
การติดอยู่ข้างในโดยไม่อาจออกไปข้างนอก
อะไรจะแย่ยิ่งกว่ากัน

"การติดอยู่ข้างในนั้นแย่กว่า" 
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ นักเขียนผู้แปลกแยกในยุคของเธอกล่าวไว้

ข้างนอกและข้างใน
ที่ใดเล่าจะปลดปล่อยให้พ้นจากความรู้สึกติดกับ


ฉันมอง ฉันเห็น ฉันพบเจอ
การออกไปจากสิ่งหนึ่งคือการเข้าไปในอีกสิ่งหนึ่ง
โลกเต็มไปด้วยกรงขังและขอบเขตจำกัด
คนรับเข้ามาเป็นของตนเอง ด้วยตนเอง


*

โอ เปล่า
ฉันไม่ได้เปิดประเด็นเรื่องการติดอยู่ข้างในหรือข้างนอกหรอก
ก็แค่ความคิดที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น
อันที่จริง ถ้าจะเรียกว่าบทสนทนา
มันก็คงเป็นได้เพียงการพูดจาล่องลอยไร้ความหมาย
ของคนที่ไม่แน่ใจว่าตนเองติดอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ดังนั้น ขออย่าได้ใส่ใจเลย
ปล่อยฉันให้ทำความเข้าใจกับมันด้วยตนเองเถิด


*



30.11.55

คืนลอยกระทงที่ไร้จันทร์ / The Missing Moon (Loykratong Night)



ลอยกระทงปีนี้ฟ้าสีเทา
บ่ายยังเยาว์เงาไม้คล้ายหม่นหมอง
ฝนโรยสายเอื่อยเฉื่อยเปลือยละออง
แสงสีทองยามเย็นไม่เห็นเลย


กระทงน้อยร้อยรัดกลัดกลีบตอง
วางใบรองซ่อนแกนแทนเปิดเผย
ธูปเทียนแซมดอกไม้หอมพร้อมใบเตย
สายน้ำไหลลมรำเพยลอยเรียงราย


แหงนมองฟ้าหาพระจันทร์คืนวันเพ็ญ
น้ำตาฟ้ายังกระเซ็นเป็นเส้นสาย
เมฆยังหนาบังเดือนเหมือนซ่อนกาย
หันชมแสงมากมายบนสายธาร


ระยิบแสงเทียนระยับจับผิวน้ำ
ฝนพรำพรำสายลมผสมผสาน
เสียงหัวเราะเสียงพูดจาพาเบิกบาน
แม้ไม่ได้พบพานจันทร์เต็มดวง



Sky Singing The Blues on Loykratong Night November 2012. Bangkok, Thailand


*



28.11.55

ง่าย กลับ ยาก / Too Easy Too Hard



จำเป็นหรือเปล่าที่เราต้องพูดถึงสิ่งที่ใครต่อใครพูดถึง
จำเป็นไหมที่เราต้องเห็นพ้องเพื่อแสดงตนในวงสนทนา
หรือโต้แย้งเพื่อสร้างสีสันให้กับการพูดคุย


มันง่ายกว่าและปลอดภัยกว่าไม่ใช่หรือที่เราจะยึดถือมาตรฐานของตนเป็นที่ตั้ง
โดยเฉพาะเมื่อมาตรฐานของเรานั้นเป็นมาตรฐานเดียวกับคนส่วนใหญ่
เราใช้มาตรฐานนั้นอธิบายบางเรื่อง บางสิ่ง หรือบางคน
คำอธิบายที่กลายพันธุ์เป็นคำพิพากษาในวินาทีที่คนส่วนใหญ่พยักเพยิด


เราถอยออกมาเพื่อมอง
เรามองเพื่อเห็น
ชายบนยอดเขามองลงมายังแผ่นดินกว้างใหญ่เบื้องล่าง เขามองไปรอบ ๆ
เรา คนข้างล่างถอยออกมาเพื่อมองภูเขา
ด้วยเรารู้ว่า ณ ที่นั้น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงพื้นลาดชัน
ที่ซึ่งเราจะก้มมองก็ต่อเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเดินขึ้นเขาไป


มันยากกว่าและอันตรายกว่าไม่ใช่หรือที่เราไม่ยึดถือมาตรฐานของตนเองเป็นที่ตั้ง
โดยเฉพาะเมื่อมาตรฐานของเราต่างจากคนส่วนใหญ่
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องพูดถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่กำลังพูดถึง
ไม่จำเป็นหรอกที่เราจะต้องเห็นพ้องหรือโต้แย้งเพื่อเพิ่มรสชาติ
ไม่จำเป็นอย่างแน่นอนที่เราจะต้องอธิบายบางเรื่อง บางสิ่ง หรือบางคน
แม้ บางเรื่อง บางสิ่ง เป็นของเรา
และบางคนนั้น คือเราเอง
ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งที่ใครต่อใครอธิบายแทนเราแล้ว ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่
การตัดสินได้สิ้นสุดลงเมื่อคณะลูกขุนพยักหน้าเห็นชอบ

สำหรับฉัน บางความง่ายมันยากเกินไป


*




หนึ่งเปลือกหอยบนหาดทราย ท่ามอนันตเม็ดทรายแห่งความจริง

*



23.11.55

เด็กหญิงผู้เป่าก้อนเมฆ / The Passing Clouds



เด็กหญิงตัวน้อยกลับเข้ามาในบ้าน "แม่คะ ทำไมวันนี้มืด"
"วันนี้ไม่มีแสงแดด"
"ทำไมถึงไม่มีแสงแดดล่ะคะ"
แม่เดินออกไปที่ระเบียง "เห็นมั้ยลูก เมฆเต็มท้องฟ้า บังพระอาทิตย์ แดดเลยส่องลงมาไม่ได้"
"แล้วเมื่อไหร่เมฆจะหมดล่ะคะ"
"ถ้าเมฆกลายเป็นฝนตกลงมา เมฆก็จะหมดไป"
"แล้วถ้าฝนไม่ตกล่ะคะ"
"บางทีจะมีลมแรง ๆ พัดเมฆลอยไปที่อื่น"


เด็กหญิงอมลมไว้จนแก้มโป่ง เธอแหงนหน้าเป่ามันออกไป
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอทำเช่นนี้จนแม่ออกมาพบเข้า
"นั่นลูกทำอะไร" 
"เป่าเมฆให้ลอยไปที่อื่น"
"ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ลมจากปากของลูกไปไม่ถึงบนฟ้า"
เด็กหญิงนั่งลงอย่างหมดแรง
"ลูกจะเป่าเมฆไปทำไม ลูกไม่ชอบเมฆเหรอคะ"
"หนูไม่ได้ไม่ชอบเมฆ หนูแค่อยากให่แดดออก"


ผ่านไปหลายปี เธอยังไม่ลืมคำแม่
"ลูกต้องรู้จักรอ เดี๋ยวแดดก็ออก"
เธอยังจำวันนั้นได้ดี
เธอตามแม่เข้าไปในบ้าน แม่ปิ้งขนมปังตัดเป็นชิ้นพอคำ แม่เทนมข้นหวานลงในถ้วยไว้จิ้มขนมปัง แล้วแม่ก็ชงโกโก้ให้
เธอรับประทานมันอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมวันที่มืดหม่น
 ทันใดแสงแดดก็สาดส่องเข้ามาในห้อง
เธอวิ่งออกไป
มองทุกสิ่งใต้แสงแดดเจิดจ้า
เธอเงยหน้ามองฟ้า
"ขอบคุณนะก้อนเมฆ หนูไม่ได้ไม่ชอบก้อนเมฆนะคะ หนูแค่อยากให้แดดออก"



*

19.11.55

บ้าน / Home


Home โดย บอย โกสิยพงษ์ 
เจ้าสาวเดือนพฤษภา แปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ
ลงไว้ในสูจิบัตรพิธีแต่งงานเมื่อปี 2011




Flowers, doors, vases, soil and sand to large trees
Glasses, dishes, stairs, beautiful lanterns
Fences with paths, grass blades in the yard
This house will flourish only with you here

You are my strength, all that is meaningful
When you stand by me, I am without fear
Outside I’ll experience wrongdoings that wear me down
But I myself, will not fear


From the ground to the walls, it’s full of sweetness
Because I know I have you to rest my soul
Will you wait for me to provide you with comfort
I’ll  lay myself down to rest in my home

No matter how much changes over time
I will have you as my hopes and support
I’m prepared to keep, sacrifice my all and do all for our home




 Flowers, doors, vases, soil and sand to large trees
Glasses, dishes, stairs, beautiful lanterns
Fences with paths, they all would like to ask
How will this home flourish without you
Because your heart is my home


*
Home ร้องโดย ปั่น ไพบูลย์เกียรติ




ดอกไม้ ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่
แก้วน้ำ
จานชาม บันได โคมไฟที่สวยงาม
ขอบรั้วและริมทางเดิน
ต้นหญ้าอยู่ในสนาม
บ้านนี้จะมีความงามได้ถ้ามีเธอ


เพราะเธอคือที่พักพิง
คือทุกสิ่งที่มีความหมาย
เมื่อเธออยู่เคียงชิดใกล้
เรื่องร้ายใดๆไม่เกรง
แม้ข้างนอกจะต้องเจอ
กับเรื่องราวที่ใครข่มเหง
แต่ฉันเองไม่คิดกลัว


จากพื้นดินชนเพดานนั้นมีความหวานอยู่

เพราะรู้ว่าฉันมีเธอคอยเป็นที่พักใจ

จะรอคอยฉันจริงๆ
เป็นหลักพึ่งพิงสุดท้าย
จะล้มตัวลงเอนกายที่บ้านของฉัน


*
ไม่ว่าวันเวลา จะเปลี่ยนหมุนเวียนไปเท่าไร
ฉันยังคงมีแต่เธอ
เป็นความหวังและความเข้าใจ
พร้อมจะเก็บทุกสิ่ง
ทิ้งความสุขทุกอย่าง
และจะทำทุกทางเพื่อบ้าน
หลังนี้

(
ซ้ำ *)

ดอกไม้
ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่
แก้วน้ำ
จานชาม บันได โคมไฟที่สวยงาม
ขอบรั้วและริมทางเดิน
ก็ล้วนแต่มีคำถาม
บ้านนี้จะงามอย่างไรถ้าไม่มีเธอ

ก็เพราะว่าใจของเธอคือบ้าน
ของฉัน





*



16.11.55

โลกที่กลับกัน / Reverse World




 ฉันชอบมองไปไกล ๆ ไกลเท่าที่สายตาจะมองถึง

ในระดับสายตา ฉันพบผู้คน
บางขณะเวลา ฉันเลือกสถานที่บางแห่งเพื่อนิ่งมองผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาอย่างไม่เบื่อหน่าย
เลยระดับสายตาขึ้นไป ฉันพบสิ่งก่อสร้าง บ้าน ตึกแถว
เลยขึ้นไปอีก ฉันเห็นสายไฟระโยงระยางจากเสาหนึ่งไปอีกเสาหนึ่ง
และไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านเคยยื่นเข้าไปใกล้สายไฟถูกตัด
แขนขาขาดยืนต้นเรียงรายเป็นแถว
เลยขึ้นไป ฉันเห็นตึกสูง ตึกระฟ้า
สิ่งเหล่านั้นบดบังความว่าง
ฉันจึงมองสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
สายตาที่แสวงหาความว่าง ย่อมพบความว่าง
ณ ที่สูงสุดเท่าที่ดวงตาจะมองถึง

ท้องฟ้า

ความว่างที่ไม่ว่างเปล่า

ความว่างทำให้จิตใจสงบ ความสงบก่อเกิดแรงบันดาลใจ
ณ ที่แห่งนั้น ความจริงและจินตนาการหลอมรวมเป็นบางสิ่ง
บางสิ่งที่เมื่อบังเกิดขึ้นแล้วทำให้เป็นสุข


มีสถานที่บางแห่งบนพื้นโลกที่ทำให้ฉันได้สัมผัสความโล่งว่าง
ฉันชอบไปที่นั่น ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น
ต้นยางนาใหญ่ขนาดสามคนโอบ ต้นไทรที่มีหนวดยาวสีน้ำตาล
สนามหญ้ากว้างเขียวและทางเดินแคบ ๆ คดเคี้ยว
สะพานข้ามสระบัวที่ทำให้นึกถึงสะพานไม้ของโมเนย์
ที่นั่น ฉันยังสามารถมองท้องฟ้าทั้งในแนวดิ่งและแนวนอน
แนวดิ่งผ่านเงาไม้ แนวนอนผ่านทะเล
ที่นั่น ฉันรู้ว่าฉันจะพบใคร


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและชื่อของเขาก็โผล่บนหน้าจอพร้อมกัน
ฉันรับสาย
"โทรหาผมมีอะไรหรือเปล่า"
ฉันไม่แสดงความแปลกใจ และไม่พูดอะไร
ใครที่ฉันจะพบที่นั่นคือชายที่อยู่ในโลกที่กลับกัน

คุณสมบัติของเขาอยู่ที่ความสามารถเสมือนจะ"สวมรองเท้าของคนอื่น"ได้ทุกครั้งที่ต้องการ
การทำเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายต้องสวมรองเท้าของเขา
หรือในทางกลับกัน
ซึ่งหมายความว่า เขาจะสะท้อนการกระทำของฉันออกมาอย่างชัดเจน
ด้วยการ"สลับที่กัน"
เมื่อ "สลับที่กัน" ฉันจะเห็นภาพสะท้อนการกระทำและผลที่เกิดขึ้นจากมุมมองของเขา
บางครั้งการสลับที่ทำให้ฉันสะท้อนใจ บางครั้งสลดใจ เสียใจกับการกระทำของตัวเอง
แต่ฉันไม่ร้องไห้
จิตใจฉันไม่ได้กระด้างเย็นชา แต่เป็นเพราะมัวแต่ไล่เรียงสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป
การสลับที่บ้างและไม่สลับที่บ้างทำให้ฉันงงงวย

บ่อยครั้งใจฉันผ่อ หัวใจลดขนาด ทิ้งที่ว่างโหวงเหวงไว้ในอก

กระนั้นไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ
ทุกครั้งที่ใครก็ตามสวมรองเท้าของคนอื่น คน ๆ นั้นต้องถอดรองเท้าของตัวเองออกเสียก่อน
และเมื่อใครคนหนึ่งทำให้คนอีกคนหนึ่งสวมรองเท้าของเขา
เขาต้องพร้อมที่จะสวมรองเท้าของอีกฝ่ายด้วย

"คุณน่าจะสวมรองเท้าของฉันมั่ง"
"ผมสวมมันอยู่"
ฉันก้มมองเท้าของตัวเองในรองเท้าใหญ่ ๆ ของเขา
เหลือบมองรองเท้าของฉันที่ถอดทิ้งไว้บนผืนหญ้า
มันยังอยู่ที่นั่น

ตรงโน้นมีแผ่นหิน มันไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน
 ฉันเดินเข้าไปมองและอ่านตัวหนังสือ
มันจารึกไว้ว่า

มรณะ 30 พฤศจิกายน 2008

ชาตะ 1 ธันวาคม 2008

และข้างล่างคือชื่อของฉันเอง

ในโลกที่กลับกัน การเกิดกับการตายไม่แตกต่าง

ชื่อก็ไม่แตกต่าง

เพราะทุกอย่างคือการสลับที่กัน


*




14.11.55

อย่างนี้ดีแล้ว / As Good As It Is

Daybed Stories


1.

นางฟ้าอ้วนเฝ้าอุดรูโหว่ของบ้านหลังหนึ่ง เรียบร้อยไร้ร่องรอย

นางฟ้าผอมถาม "ทำไมเธออุดรูโหว่บ้านชายใจร้ายเจ้าหนี้เงินกู้ 
แต่ไม่อุดให้บ้านของชายยากจนที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต"

"อย่างนี้ดีแล้ว" นางฟ้าอ้วนตอบ

วันรุ่งขึ้นชายปล่อยเงินกู้หน้าเลือดถูมือไปมาอย่างพึงพอใจ
คนอย่างเขาช่างโชคดี แม้ยามหลับเทพผู้พิทักษ์ยังมาอุดรูโหว่ให้

ส่วนชายยากจนเห็นประกายแวววับลอดออกมาจากช่องโหว่ จึงเข้าไปดู
เขาพบทองคำ

(นิทานที่เพื่อนส่งมาทางเมล ไม่มีชื่อผู้เขียน)


2.


หญิงสาวคนหนึ่งมีงานที่ดี เธอทำงานที่บริษัทนี้มาสองปีแล้ว
เธอรู้สึกมั่นคงเพราะคนที่นี่ไม่มีใครลาออก
แต่แล้วเปลี่ยนผู้บริหาร นายคนใหม่ของเธอเป็นผู้หญิง
แทบในทันที นายใหม่บ่นว่าเธอทำงานไม่ดี
หญิงสาวคิดว่าเธออาจมีข้อบกพร่องจริงอย่างนายว่า จึงไปพบนักจิตวิทยา เขาบอกว่าเธอปกติดี
เธอจึงไปตรวจร่างกายพบว่าเป็นไทรอยด์
ที่อาจทำให้การตัดสินปัญหาของเธอผิดเพี้ยนและส่งผลให้มีลูกยาก
เธอจึงรีบรักษา ขณะเดียวกัน เธอก็หางานใหม่
เพื่อนลูกจ้างอีกหลายคนโดนส่งเรื่องไปองค์กรที่เกี่ยวกับการว่าจ้างเพื่อเลิกจ้าง
เธอสมัครงาน ถูกเรียกตัว และได้งาน
พบนายที่มีประสิทธิภาพ ทำงานด้วยจังหวะเดียวกันและพูดคุยกันถูกคอ
เงินเดือนที่ได้ยังเพิ่มขึ้นจากที่ขอไปมากโข

เวลานี้เธอทำงานอย่างเป็นสุข
รักษาตัวและรอลูกที่จะมาเกิด
ส่วนบริษัทเก่าเลิกจ้างพนักงานกว่าครึ่งในรอบห้าสิบปี สถานภาพของบริษัทร่อแร่
(เรื่องจริงจากปากถึงหู เกิดขึ้นที่ต่างประเทศ)





ถ้าไม่เกิดเรื่องเลวร้าย สิ่งดี ๆ ที่รออยู่ก็หมดโอกาสที่จะเป็นโอกาส
ถ้ามองปัญหาโดยไม่มองตัวเอง โอกาสที่จะแก้ไขปรับปรุงก็หมดไป
แก้ไขตัวเราเองง่ายกว่าแก้ไขคนอื่น

เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นอาจเปรียบได้กับประตูที่เปิดออก
สู่การหลุดพ้น สู่หนทางใหม่
หลังผ่านบทพิสูจน์บนตาชั่งสุขทุกข์
ประหนึ่งทารกแรกเกิดรอวันที่ตามองเห็น

ตราบยังมีชีวิต ยังคงมีเรื่องตื่นใจให้พบเจอ
ให้เรียนรู้ ให้จดจำ ให้ตราตรึง
ชีวิตพาก้าวเดินไปพร้อมกัน
แม้บางครั้ง อาจเหมือนย้อนรอยทาง
แต่นั่นไม่ใช่เลย
เป็นเพียงการมองย้อน เพื่อทบทวน เพื่อหวนถึง เพื่ออำลา
เท่านั้นเอง

บางคนอาจเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเหตุบังเอิญ
บางคนอาจเห็นว่าเป็นปาฎิหารย์
ก็ขึ้นอยู่กับเราจะเลือกว่าเป็นเหตุบังเอิญ หรือเป็นปาฎิหารย์ 
ไม่ว่าจะเลือกอะไร
ย่อมส่งผลต่อคุณค่าและความทนทานของมัน


อ่านหนังสือของโกวเล้ง มังกรเดียวดาย ทานซาละเปาเป็นของว่าง กับน้ำทับทิม

เวลาไม่ได้ลดน้อยลง
ช่วงเวลาต่างหากที่ลดทอนลงทุกขณะ สั้นยาวสูงต่ำไม่เท่ากัน
ช่วงเวลาส่งผล มีความสำคัญกับชีวิต
จึงถูกเรียกว่าช่วงเวลา

มีช่วงเวลาแย่ ๆ และช่วงเวลาดี ๆ
ที่ฉันและอีกหลาย ๆ คน เรียกว่า
ปาฎิหารย์




*





12.11.55

เก็บใบไม้ไว้ห่มโลก / Blanket Earth

ต้นเสน่ห์จันทร์ก้านแดง / King of Heart

ผืนดินกรุ่นไอแดดที่แผดเผา

หนักกลับเบาด้วยใบห่มพรมหญ้าหนา

ร่วงดอกใบวันวานผ่านเวลา

ลงปกปักพสุธาฟ้าจึงเย็น 



ต้นปีบ และ ต้นหางไก่ / Tree Jasmine & Rooster Tail


สูงตะวันส่องแสงส่งแรงโลก

ทั้งน้ำลมซมโศกโลกที่เห็น

คนเก็บกวาดซากเก่าเผาความเป็น

สร้างโลกเข็ญต่ำลานเพลิงเชิงตะกอน



ต้นไข่มุก / Pearl Plant


ร่วงดอกไม้ใบแห้งแห่งวันวาน
ปล่อยดินหวานสีน้ำตาลจากกาลก่อน
ห่มชื่นเย็นต่อชีวิตอย่าริดรอน

เขียวต้นอ่อนแตกใบในผุพัง


 
เฟิร์นข้าหลวง / Bird Nest Fern

  คือการทับซ้อน ผ่อนช่วงเวลา

รอต้นกล้าเกิดใหม่ใต้ความหลัง

หยั่งรากผลิใบ ได้พลัง

จากใบเก่าส่งกำลังหนุนแผ่นดิน



พืชคลุมดินไม่ทราบชื่อ / Ground Cover Plant


*


ห่มโลก / Blanket Earth


7.11.55

คนโง่บนภูเขา / Fool On The Hill - The Beatles




วันแล้ววันเล่า โดดเดี่ยวอยู่บนภูเขา
ชายผู้มีแววตาเหม่อลอยสงบนิ่งไม่ติงไหว
ไม่มีใครอยากรู้จักเขา ก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่ง
และเขาไม่เคยตอบโต้

แต่เขาคนนี้หรือมิใช่ผู้เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ...
หมุนไป และ หมุนไป ...

หนทางราบรื่น ดุ่มเดินฝ่าหมอกเมฆ
ชายผู้มีพันเสียงตะโกนก้อง
ด้วยเสียงที่เขารู้สึก
จากห้วงลึกสู่หูผู้ไม่เคยได้ยิน
และดูเหมือนเขาเองก็ไม่ใส่ใจ

ไม่มีใครชอบเขา ผู้ไม่เคยบอกกล่าวว่าต้องการสิ่งใด
เขาผู้ไม่เคยแสดงความรู้สึก
แต่เขาคนนี้ เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ...
หมุนไป และ หมุนไป ...

และเขาไม่ฟังคนพวกนั้น ด้วยรู้ว่าล้วนคนเขลา
พวกนั้นชิงชังเขา คนโง่บนภูเขา
แต่เขาหรือมิใช่ ผู้เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ...
หมุนไป และ หมุนไป ...
เห็นโลกหมุน หมุน และ หมุน ...* 



Fool On The Hill / The Beatles

Day after day,
Alone on a hill,
The man with the foolish grin is keeping perfectly still
But nobody wants to know him,
They can see that he's just a fool,
And he never gives an answer,

But the fool on the hill,
Sees the sun going down,
And the eyes in his head,
See the world spinning 'round.

Well on the way,
Head in a cloud,
The man of a thousand voices talking perfectly loud
But nobody ever hears him of the sound he feels to make
But he never seems to notice
But the fool on the hill,
Sees the sun going down,
And the eyes in his head,
See the world spinning 'round.
And nobody seems to like him,
He wouldn’t tell what he wants to do,
and he never show his feelings,

But the fool on the hill,
Sees the sun going down,
And the eyes in his head,
See the world spinning 'round.
Oh oh oh oh oh oh ……….oh

Round round round round round ……..

He never listens to them,
He knows that they are fool
They don’t like him.

The fool on the hill
Sees the sun going down,
And the eyes in his head,
See the world spinning 'round.

Ooh……………….,
Round, round, round …….



คนโง่บนภูเขา “Fool on the hill” ของ “The Beatles”
เนื้อร้องทำนองโดย Paul McCartny
“เขียนขณะนั่งอยู่หน้าเปียโนที่บ้านพ่อในเมืองลิเวอร์พูล
กดคอร์ด D6th แล้วแต่งเพลงนี้” 




*



31.10.55

อาหารเช้า / Breakfast .. Break Fast


 Break Fast หยุดการอด



สิ่งที่นึกถึงเป็นสิ่งแรกเมื่อลืมตาตื่น ไม่ได้วางแผน ควบคุมไม่ได้
เป็นเรื่องของความรู้สึก
 บ่งบอกความสำคัญ และ/หรือนัยยะที่สำคัญ


เราอาจนึกถึงเรื่องที่เราฝัน อาจนึกถึงบางคน หรือบางสิ่ง
เรากระวีกระวาดลุกขึ้น สู่การมีสติสัมปชัญญะเต็มรูปแบบ

นอกจากคนทำอาหาร จะมีใครสักกี่คนที่ตื่นมาถามว่า
เช้านี้จะกินอะไร



พ่อแม่บอกลูก ๆ ว่า มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน
เราต้องใช้พลังงาน เราต้องให้อาหารสมองและร่างกาย

หลังมื้อเช้า ครอบครัวแตกสานซ่านเซ็น แยกย้ายกันตามภาระหน้าที่ ไปเรียน ไปทำงาน
มือเย็น เราไม่รีบร้อน หลังอาหารเย็น เราพักผ่อนแล้วเรานอน

อาหารมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว คนสำคัญของชีวิต
มื้อกลางวันกับเพื่อนเรียนและเพื่อนร่วมงาน
แต่มื้อเช้ามักเป็นของเราคนเดียว




เคยเห็นป้ายเล็ก ๆ ห้อยไว้ที่ประตูกระจกร้านกาแฟเขียนไว้ว่า
มีอาหารเช้าตลอดวัน
ฉันยิ้มให้กับป้ายนี้
ป้ายที่ทำขึ้นสำหรับลูกค้านักท่องเที่ยวที่นอนกลางวัน
แต่ฉันกลับเห็นเป็นปรัชญา




เมื่อมีวันแย่ ๆ ไม่เคลื่อนไหว
ลองสั่งอาหารเช้า เพลิดเพลินไปกับมัน
แล้วเริ่มใหม่


 

เหตุผลที่หลายคนดื่มกาแฟในที่ทำงานบ่อย ๆ อาจไม่ใช่เพราะแก้ง่วง
แต่เพื่อสนองตอบความต้องการเริ่มใหม่ระหว่างวันที่เหนื่อยหน่าย
ก็เป็นได้



ช่วงเวลาอาหารเช้า อาจเป็นของเราคนเดียว



เช่นเช้านี้

ที่โต๊ะไม้ใกล้หน้าต่างข้างต้นไผ่








*

ฟังเพลง"ลม"ของบาคไปด้วย
http://www.youtube.com/watch?v=E2j-frfK-yg