Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


28.12.55

คริสต์มาสปีนี้ / Christmas this year




บางปีเรามีคริสต์มาสที่ดี บางปีก็ไม่
บางทีเรามีผู้คนคึกคักรอบราย บางทีก็ไม่
เมื่อปีหนึ่งสิ้นสุดลง อีกปีหนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร ณ รอยต่อระหว่างปี
เราหวังว่า ปีต่อไปจะเป็นปีที่ดีขึ้น
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านนี้
จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้น

*******

ที่บ้านเคยฉลองคริสต์มาสกันในวันคริสต์มาสอีฟ คืนวันที่ 24
แต่ปีนี้เราฉลองกันวันคริสต์มาสคืนวันที่ 25
บิ๊กเจ มาจากสวีเดนถึงกรุงเทพหกโมงเช้าวันที่ 24
แจนกับเจสัน เจ้าสาวเจ้าบ่าวเดือนพฤษภาจากออสเตรเลีย ถึงกรุงเทพก่อนสองทุ่มวันเดียวกัน

***
กลางดึกคืนนั้น จัสลงมือทำสวีดิชมีทบอลและแตงกวาดอง
สูตรของสุภาพสตรีที่เป็นตัวละครเอกใน "แสงแดดในห้องใต้หลังคา"
ส่วนซอสสีน้ำตาลจะทำก่อนเสิร์ฟ



อาหารจานเริ่ม บิ้คเจ หอบแฮร์ริ่งสามชนิดจากสวีเดน
แซลมอนรมควันทั้งแบบเย็นที่เป็นสีชมพูแซลมอน 
และแบบอุ่นที่รมควันแบบสุก

จานนี้เป็นจานที่ซื้อเองจากฟู้ดแลนด์
แซลมอนรอมควันแบบเย็น ก่อนทานบีบมะนาว บดพริกไทยดำ โรยหอมใหญ่สับกับใบดิล (ผักชีลาว)
หรือทานกับซ้อสที่มีมัสตาร์ด มีรสหวานหน่อย
พบว่าที่แซลมอนที่บิ้คเจเอามาเนื้อแน่นกว่าและอร่อยกว่าที่ซื้อหาที่นี่มาก



จานนี้เป็นแซลมอนรมควันแบบสุกที่เรียกว่า วอร์ม สโม้ค
ทานกับซ้อสที่มีมัสตาร์ดเป็นส่วนผสม
อร่อยจนต้องหลับตา

จำพวกปลานี้ทานเป็นจานเริ่มกับไวน์ขาว ที่มาถึงช้ากว่ากำหนด
^ ^


สลัดมันฝรั่งที่ต้มไว้ตอนทำมีทบอล แช่ตู้เย็นไว้
ก่อนเสิร์ฟถึงคลุกกับมายองเนสเดรสซิ่งแบบไม่หวานและใบหอมซอย
ทานกับมีทบอลและแฮม


ลงมือทำบราวน์ซ้อสร้อน ๆ สำหรับมีทบอล
แตงกวาหั่นบาง ๆ ดองกับเกลือ น้ำส้ม น้ำตาลทิ้งไว้ตั้งแต่คืนก่อน

แฮร์ริ่งสามอย่างในขวดที่บิ้คเจเอามา
 แฮมนี้อบแบบเสียบกานพลู ทานกับดีชองมัสตาร์ด
ไม่ได้อบเอง ซื้อหามาจากฟู้ดแลนด์เป็นประจำ


ของหวานเป็นพุ้ดดิ้งกับครีมซอสฝีมือคุณแม่ของเจสัน
หอบหิ้วมาจากควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย ^ ^

เครื่องดื่ม 
แอคคราวิท สวีดิช สแน้ป เหล้าร้อนบาดคอที่ต้องแช่เย็นไว้ในช่องแข็งก่อนดื่ม
ที่บิ้คเจชวนดื่มให้กับการมารวมตัวของเรา
ไวน์แดงจากออสเตรเลีย
ไวน์ขาวจากกรุงเทพ
และเบียร์ของพวกผู้ชายในยามดึก
มีแขกได้รับเชิญมาร่วมอีกสามคน

^ ^

เจดีอยู่ด้วยช่วยกัน เจเคมาถึงตั้งแต่เย็นกับเพื่อนสาว

คริสต์มาสปีนี้เป็นคริสต์มาสที่ดี


ขอส่งความสุข ความรักและความปรารถนาดีถึงทุกคนที่แวะมานะคะ


*







20.12.55

บางบทตอน / Lonely Dragon: The Sentimental Swordsman



..ลมหนาวราวมีดคมกริบ ถือพสุธากว้างใหญ่ต่างเขียง เห็นชีวิตทั้งหลายเป็นปลาเป็นเนื้อ
หิมะโปรยปรายทั้งแผ่นฟ้าแผ่นดิน ใช้ห้วงเวหาต่างเตาหลอม ละลายทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นสีเงิน ...

หิมะ ใกล้หยุดตก ลมยังไม่สงบ
รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจากทิศอุดร ล้อรถหมุนวนบดทำลายหิมะน้ำแข็งแตกกระจาย
แต่ไม่อาจบดทำลายความอ้างว้างวังเวงของแผ่นฟ้าแผ่นดิน

... ภายในรถแม้อบอุ่นยิ่ง สุขสบายยิ่งแต่การเดินทางครั้งนี้ยาวไกลเกินไป เงียบเหงาเกินไป
เขารู้สึกเหนื่อยหน่าย มิหนำบังเกิดความรังเกียจ
ในชีวิตของเขาเกลียดชังความเงียบเหงาที่สุด แต่กลับอยู่กับความเงียบเหงาเป็นนิจสิน

... ชีวิตคนความจริงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ว่าผู้ใด ล้วนอับจนปัญญา

... ขวดสุราว่างเปล่าแล้ว เขาค่อย ๆ ล้วงมีดเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง เริ่มแกะสลักท่อนไม้ท่อนหนึ่งเป็นรูปคน
คมมีดบางและคมกริบ นิ้วมือของเขาเรียวยาวและมีพลัง
ภายใต้ฝีมือแกะสลักอันชำนาญ เกิดรูปเหมือนของหญิงนางหนึ่ง ใบหน้าและลายเส้นอ่อนช้อยและงดงาม คล้ายมีชีวิตก็มิปาน
เขามิเพียงให้ลายเส้นอันรัดรึงใจ หากยังให้ทั้งชีวิตและจิตวิญญาณแด่ 'เธอ' ด้วยฃีวิตและจิตวิญญาณของเขา ได้มลายหายไปอย่างเงียบงันใต้คมมีดนั้น ...
...
เขาขุดหลุมบนพื้นหิมะหลุมหนึ่ง 
ฝังรูปสลักที่เพิ่งสลักเสลาจนเสร็จสิ้น จากนั้นยืนอยู่หน้าหลุมอย่างซึมเซา
เมื่อเขาฝัง "นาง" ลงไป ชีวิตของเขาเองก็แปรเปลี่ยน ไร้คุณค่าความหมาย





... ชายฉกรรจ์คนขับรถม้ากล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
"ท้องฟ้าใกล้มืดค่ำ หนทางข้างหน้ายังอีกไกล รีบขึ้นรถเถอะ"

...
"ดินฟ้าอากาศเช่นนี้ คิดไม่ถึงยังมีคนออกเดินทางกลางฟ้าน้ำแข็ง ดินหิมะ
ข้าคิดว่ามันต้องเป็นคนที่เดียวดายยิ่ง น่าเวทนายิ่ง"

คนขับรถม้าไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่ลอบถอนใจและคิดว่า
หรือท่านไม่ใช่คนที่เดียวดายยิ่ง น่าเวทนายิ่ง

...

ใต้ที่นั่งในรถมีกองไม้สนเนื้อแข็งเป็นจำนวนมาก
เขาเริ่มแกะสลักอีกคราอย่างคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เขาแกะสลัก
คือคน ๆ เดียวกันตลอดกาล






*


จาก หนังสือที่กำลังอ่าน "มีดบินไม่พลาดเป้า"
ที่รู้จักกันในชื่อ "ฤทธิ์มีดสั้น" โดย โกวเล้ง มังกรเดียวดาย
เล่มที่มีแปลโดย น.นพรัตน์ 

12.12.55

เก็บท้องฟ้าเอาไว้ มิใช่ดาวเดือน / December Sky



เย็นนี้ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส
ปุยเมฆขาวเบาบางเหมือนดอกฝ้ายบาน
หอมหวานดอกไม้ลอยระลอกอ่อนมากับสายลมโชย
โปรยปรายช่วงเวลารื่นรมย์ราวตกอยู่ในห้วงรัก


ค่ำคืนธันวาเนิ่นนานผ่านพ้น
หลังหลายมรสุมฤดูฝน หากบางความฝันยังคงอยู่ในฤดูหนาว
แม้ไม่คว้าเดือนดาว
ท้องฟ้านั้นกลับกลายเป็นของเรา


ความรักทำให้คนที่รักและสิ่งที่เรารักยิ่งใหญ่
เช่นนี้ เราจึงมองฟ้าและเดือนดาวที่อยู่ไกลสุดตา
ด้วยไม่อาจหาวัตถุสิ่งของใดมาเปรียบเทียบ


คืนวันเลยผ่าน ฟ้ายังคงอยู่
เพียงมองไปข้างบน
หรือข้างใน




ใช่แล้ว เย็นนี้ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
ริ้วเมฆมีใยบาง ๆ เหมือนแถบริบบิ้นผ้าแก้ว
แต่ปุยเมฆดอกฝ้ายอยู่ห่างเกินกว่าจะมัดเป็นช่อ
... และผูกริบบิ้น


เก็บท้องฟ้าเอาไว้ มิใช่เดือนดาว




ฉันเก็บท้องฟ้าไว้แล้ว


*



December Sky one evening , Bangkok, Thailand 


9.12.55

แดนฝันอันแสนไกล (นวนิยาย) / The Far Pavilions (Novel)

The Far Pavilions เรื่องเล่าโดยย่อ
นวนิยายรักภายใต้ขนมธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คนในอินเดีย
ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างผู้ถูกปกครองและผู้ปกครอง
ช่วงอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
จนเกิดการปฏิวัติเพื่อเอกราช
โดย เอ็ม.เอ็ม.เคย์ เด็กหญิงชาวอังกฤษที่เติบโตและใช้ชีวิตที่อินเดียจนหลังช่วงต้นของชีวิตแต่งงาน
หนังสือเล่มนี้ทำเงินให้อินเดียอย่างมหาศาลจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว



เรื่องย่อ

สามีภรรยานักพฤกศาสตร์ชาวอังกฤษเดินทางไปทั่วอินเดียเพื่อศึกษาค้นคว้าบันทึกเกี่ยวกับพันธุ์ไม้
ภรรยาคลอดลูกติดเชื้อแล้วตาย ต่อมาสามีก็โดนอหิวาตกโรคคร่าชีวิตไปอีกคน
แอช หรือแอชตัน มาร์ตินลูกชายจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า
ก่อนตายคนเป็นพ่อสั่งเสียซีต้า พี่เลี้ยงชาวฮินดูของแอชให้พาเขาไปหาญาติชาวอังกฤษ
เพื่อจะพบว่าพวกเขาถูกฆ่าตายทั้งหมด
ซีต้าจึงเลี้ยงแอชเหมือนลูกตัวเองและพยายามปกป้องเขาให้พ้นจากอันตราย

ซีต้าพาแอชมาที่อาณาจักรกุลโกฐ (Gulkote) เด็กชายแอชลืมเชื้อชาติอังกฤษของเขาแล้ว
ใช้ชื่อว่า อโศก เติบโตเช่นเด็กชายชาวอินเดียทั่วไป
แอชมีเพื่อนชื่อ ซาริน ลูกชายหัวหน้าคนเลี้ยงม้า
แอชในชื่ออโศกเป็นมหาดเล็กของพระยุพราชและได้เป็นเพื่อนกับอาจูลีเจ้าหญิงผู้ถูกทอดทิ้ง
(จำได้ว่าแม่ของเธอเป็นหญิงอังกฤษ สายเลือดจึงปนเปื้อน)

แอชหรืออโศกพบว่ามีการวางแผนลอบปลงพระชนม์พระยุพราช
ตัวเขาเองก็จะถูกฆ่าด้วย จึงต้องหลบหนีไปกับซีต้าด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนมิตรในวัง
เขาสัญญากับเจ้าหญิงว่าจะกลับมาหาเธอ
ระหว่างหลบหนี ซีต้าผู้เจ็บป่วยเปิดเผยความจริงก่อนตาย
แอชได้รับจดหมายและเงินที่พ่อทิ้งไว้ให้

แอชหลบหนีจนไปถึงหน่วยทหารตามที่ซีต้าบอกไว้
ทุกคนจำเรื่องราวได้ เขาเข้าพบผู้มีอำนาจและถูกส่งตัวเดินทางไปศึกษาในประเทศอังกฤษ
แอชได้รับการฝึกฝนให้เป็นทหาร กลายเป็นคนอังกฤษเต็มตัว

เขากลับอินเดียเมื่ออายุสิบเก้า คุมกองร้อยโดยมีซารินเพื่อนเก่าเป็นแนวหน้า
แอชถูกฉีกทึ้งระหว่างความเป็นนายชาวอังกฤษ
กับความเป็นอินเดียในวัยเด็กในนามอโศก

หลังจากไปทำหน้าที่ในอัฟกานิสถาน
แอชได้รับมอบหมายให้ไปดูแลรักษาความปลอดภัยในงานอภิเษกสมรสที่การิดโกฐ (Kalidkote)
ซึ่งก็คือการรวมตัวของกุลโกฐที่เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กกับแคว้นเพื่อนบ้าน
เจ้าหญิงทั้งสองที่จะเข้าพิธีคือ อาจูลีกับพี่สาวของเธอ
แอชได้พบเจ้าหญิงอีกครั้งและตกหลุมรักเธอ
เขาเปิดเผยว่าที่แท้แล้วเขาคืออโศก
แต่ไม่อาจเปิดเผยความรักที่มีต่อเธอได้เพราะเธอเป็นคู่หมั้นของชายอื่น
ทั้งสองต่อกันไม่ติด ความแปลกเปลี่ยนเข้ามาขวางกั้นคนทั้งสอง
อีกครั้งที่แอชสืบรู้ว่ามีการวางแผนฆ่าโจห์ลีเจ้าชายองค์เล็ก
ในขณะเดียวกัน เขาถูกกดดันบีบคั้นด้วยความรักที่มีต่ออาจูลี

จนกระทั่งทั้งสองไปติดอยู่ในพายุ เขาจึงได้บอกรักเธอและชวนให้หนีไปด้วยกัน
อาจูลีก็บอกว่ารักเขาแต่ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ที่มีต่อพี่สาว
และภาระสำคัญที่จะต้องเชื่อมสองอาณาจักรเข้าด้วยกัน
แอชต้องทนเห็นเธอเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับราชาแห่งบิธอร์
ก่อนลาจาก

สองปีต่อมา แอชทราบข่าวว่าราชาพระสวามีอาจูลีสิ้นพระชนม์
และเธอจะต้องตายตามสามีด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ หรือไม่ก็ถูกเผาทั้งเป็น

แอชกับพรรคพวกได้ช่วยอาจูลี่จากพิธีสตี
แต่คนที่ติดตามไปช่วยถูกฆ่าตายเกือบหมด
แอชยืนยันที่จะแต่งงานกับหญิงที่เขารัก ทุกคนรวมทั้งอาจูลีพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เป็นเรื่องไม่จำเป็นและขัดต่อกฏของพระผู้เป็นเจ้า

แอชถูกส่งตัวไปเป็นสายลับในอัฟกานิสถาน
อังกฤษต้องการแผ่ขยายอาณาเขตครอบครองไปที่นั่น

หลังการลุกฮือในคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน
แอชกับอาจูลีก็ออกเดินทางแสวงหาแดนสวรรค์ของพวกเขาที่เทือกเขาหิมาลัย
ที่โล่งกว้างไร้ขอบเขต ปราศจากอคติ
ที่ซึ่งเขาทั้งสองจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข


*




7.12.55

เมื่อฉันถ่ายรูปคนแปลกหน้า / When I took pictures of a stranger, Delhi India

เหตุเกิดขึ้นเพราะหนังสือเล่มนี้


เอ็ม.เอ็ม. เคย์ เป็นนักเขียนหญิงชาวอังกฤษที่เกิด เติบโต และใช้ช่วงต้นของชีวิตแต่งงานอยู่ในอินเดีย
ช่วง บริทิช ราช (British Raj) ตอนอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
ฉันสนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของประเทศเก่าแก่ที่มีความขัดแย้ง
ขนบธรรมเนียม ประเพณี สถานภาพและสถานการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตผู้คน
โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในประเทศที่เป็นเมืองขึ้น
วิธีง่ายที่สุดที่จะได้เรียนรู้อย่างเพลิดเพลินก็ด้วยการอ่านนวนิยายดี ๆ
ที่มีฉากหลังและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

เอ็ม.เอ็ม.เคย์รักประเทศนั้น เธอรู้เรื่องราวและปมปัญหาอย่างลึกซึ้ง
หนังสือเล่มนี้รับจากมือของท่านผู้ใหญ่ชาวอินเดีย ดร.อิดรัค บัตตี้

ท่านและภรรยาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยในนิวเดลลี ใช้ชีวิตสมถะมาก
บ้านของท่านเต็มไปด้วยหนังสือ
มีหนังสืออยู่ในตู้ บนหิ้ง บนโต๊ะ บนพื้น ที่บันได
มีหนังสืออยู่ทุกที่ เวลาเดินก็ต้องหลบ ๆ หลีก ๆ หนังสือ
เวลาจะนั่งก็ต้องเลื่อนหนังสือออกไปหน่อยก่อนนั่งลงตัวลีบ
ท่านจบจากออกซ์ฟอร์ด และภรรยาของท่านจบจากซอร์บอนน์
ท่านรับทำบางโครงการพิเศษกับยูเอ็นเมื่อจำเป็น
ท่านอยู่ในวรรณะกษัตริย์
แต่ก็บอกทันทีว่าอย่าตื่นเต้นเลย กษัตริย์แต่ละพระองค์ต่างมีพระชายาหลายองค์
ลูกหลานย่อมมากเป็นธรรมดา
 วันที่ไปบ้านท่านครั้งแรก ภรรยาผู้ใจดีสวมสาหรี่ที่มีรอยกร่อนบางจนเป็นรู
ทั้งสองไม่สนใจเปลือกนอก
ท่านทั้งสองโดดเด่นเป็นตัวเองอย่างสูง พบแล้วก็ประทับใจไม่ลืมเลือน
ฉันได้หนังสือหลายเล่มจากท่าน และยังได้พบเจอเวลาท่านเดินทางมาเมืองไทยอีกหลายครั้งหลายหน

หนังสือเล่มนี้เนื้อเรื่องเข้มข้น เต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งเรื่องเชื้อชาติ วรรณะ สถานะ วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อตัวละคร
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปฎิวัติเพื่ออิสรภาพของอินเดีย

ในหนังสือกล่าวถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่ป้อมแดง (Red Fort) ระหว่างทหารอังกฤษกับอินเดีย
.ตัวหนังสือเขียนไว้ว่า
"ที่บันไดในป้อมแดงแห่งนี้ เลือดของคนอังกฤษและอินเดียไหลรวมกันลงมาเป็นสาย"

บอกตนเองว่า จะต้องไปเรดฟอร์ทให้ได้
จะไปดู จะไปให้ถึงบันไดนั้น

แล้วก็ได้ไป

เรด ฟอร์ท สร้างโดยกษัตริย์โมกุล




เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่น้อย เราไปถึงบันไดนั้น มันเป็นบันไดแคบ ๆ และโค้ง
ฉันยืนมองแล้วนึกถึงสายเลือดที่ไหลลงมา
ไม่อาจแยกเชื้อชาติ
รวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความตาย

เวลานั้น ไม่ได้คิดถึงเจ้าหญิงที่เป็นนางเอกของเรื่องเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนกลับ สายตาที่ไม่หยุดนิ่งเพราะมีอะไร ๆ ให้ดู ให้จำมากมาย
ก็พบบางคน

บางคนที่เตือนให้นึกถึงเจ้าหญิง

เธอปรากฏตัวที่ตรงนี้เลยค่ะ


หญิงสาวบอบบางคนนั้นสวมใส่สาหรี่สีเขียวมรกตปักลายทอง 
มีผ้าคลุมที่เธอจับไว้ให้ปิดหน้าเกือบมิด ที่นั่นลมแรงมาก
ฉันอยู่ไกลออกไปมาก  สนามหญ้ากว้างเขียวหนากั้นขวางเราไว้
ไม่สามารถเห็นใบหน้าส่วนที่พ้นผ้าคลุมได้
สิ่งที่ทำให้เหลือบเห็นเธอก็เป็นแสงแวบวิบไหวจากสาหรี่ในแดดจ้ายามบ่าย

ข้างหน้าเธอมีชายตัวดำ ๆ ส่วนล่างพันไว้ด้วยผ้าป่านขาวเหมือนโจงกระเบน ส่วนบนสวมเสื้อสีเดียวกัน
มีด้วยกันสามคน สองคนเดินน้ำหน้าและอีกคนตามหลัง
ข้าง ๆ เธอมีหญิงอินเดียอ้วน ๆ วัยชราสองคนประกบ
ยิ่งทำให้งงงวยและได้สติในเวลาเดียวกัน
จะต้องถ่ายภาพเธอไว้ให้ได้ กล้องของเรามีซูมที่ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้
บนทางยาวนั้น เธอรู้ดีว่ากำลังถูกจับจ้อง เรากำลังจะถ่ายภาพเธอ 
เธอปล่อยนิ้วที่คีบผ้าคลุมหน้าไว้ เห็นใบหน้ากันเต็มตาแม้จะไกล
เลนส์เห็นได้ดีกว่า
สองหญิงชราโวยวาย เธอใช้นิ้วคีบผ้าไว้ดังเดิม
แล้วเธอก็ปล่อยอีก เราถ่ายภาพเธอไว้เป็นชุด
เรากำลังเล่นกัน ฉันและเธอ เรารู้กัน

 บางที เราอาจอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน และมาถึงเรด ฟอร์ทในวันและเวลาเดียวกัน
หญิงชราเห็นเราแล้ว สองนางตะโกนร้องบอกผู้ติดตาม พวกเขาออกวิ่งไล่
ยังดีที่ไกลกัน
 หันไปดูไม่รู้พวกนั้นคว้าไม้ท่อนเบ้อเริ่มมาจากไหน
คงจะตีหนุ่มคนที่ให้ช่วยถ่ายภาพ
เราวิ่งไปโผล่ที่ถนนคนเดินที่นักท่องเที่ยวมาช็อปปิ้งกัน 
มีร้านขายของสองข้างทาง ผู้คนพลุกพล่าน
โชคดี
เราหันไปมอง พวกที่วิ่งตามถอดใจและคงเพราะเป็นห่วงเจ้าหญิง(ของฉัน)ด้วย
พ้นอันตราย เหนื่อยแทบตาย เราหัวเราะกันจนตัวงอ 
ก่อนกลับไปพบกับ
ความเสียใจ

ดร.อิดรัคบอกเราว่า แสงวับแวบที่สะดุดตาฉันเป็นกระจกที่ปักลงบนผ้าสาหรี่
รวมทั้งผ้าคลุมหน้าปิดมิดชิดบ่งบอกว่าเธอเป็นมุสลิม
พวกเขาเชื่อว่า การถ่ายรูปคือการเอาดวงวิญญาณไป
คนที่โดนถ่ายรูปจะมีอันเป็นไป
โบสถ์ของศาสนานี้จึงตกแต่งด้วยลวดลายเรขาคณิต
ไม่ใช่ภาพคนหรือสัตว์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้หยุดถ่ายภาพคนแปลกหน้า
เพราะทำครั้งแรกก็เป็นเรื่องใหญ่โตจนลืมไม่ลง

แต่ตอนวิ่งหนึไปบนถนนคนเดิน เหมือนกับวิ่งอยู่ในหนังเลย
อันนี้ก็จำได้ไม่ลืม

ตั้งใจจะถ่ายภาพคนแปลกหน้าบนถนนอีกครั้ง
ประสบการณ์ครั้งใหม่นี้อาจเปลี่ยนไป
 ในทางที่ดี





4.12.55

ติด / Locked in or Locked Out




เขาเดินเข้าไปในความอึกทึก เพื่อความอึกทึกที่ยิ่งกว่า
เพื่อจะพบว่าความอึกทึกที่แสวงหา
ไม่ได้เติมเต็มความเงียบ

เธอเดินเข้าไปในความเงียบ เพื่อความเงียบที่ยิ่งกว่า
เพื่อจะพบว่า ความเงียบที่ปรารถนา
ไม่ได้ลดทอนความอึกทึก

เขาและเธออาจสลับที่กัน
ทั้งสองแสวงหาสิ่งตรงกันข้าม
ทั้งสองต้องผิดหวัง

*

การติดอยู่ข้างนอกโดยไม่อาจเข้าไปข้างใน
หรือ
การติดอยู่ข้างในโดยไม่อาจออกไปข้างนอก
อะไรจะแย่ยิ่งกว่ากัน

"การติดอยู่ข้างในนั้นแย่กว่า" 
เวอร์จิเนีย วูล์ฟ นักเขียนผู้แปลกแยกในยุคของเธอกล่าวไว้

ข้างนอกและข้างใน
ที่ใดเล่าจะปลดปล่อยให้พ้นจากความรู้สึกติดกับ


ฉันมอง ฉันเห็น ฉันพบเจอ
การออกไปจากสิ่งหนึ่งคือการเข้าไปในอีกสิ่งหนึ่ง
โลกเต็มไปด้วยกรงขังและขอบเขตจำกัด
คนรับเข้ามาเป็นของตนเอง ด้วยตนเอง


*

โอ เปล่า
ฉันไม่ได้เปิดประเด็นเรื่องการติดอยู่ข้างในหรือข้างนอกหรอก
ก็แค่ความคิดที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น
อันที่จริง ถ้าจะเรียกว่าบทสนทนา
มันก็คงเป็นได้เพียงการพูดจาล่องลอยไร้ความหมาย
ของคนที่ไม่แน่ใจว่าตนเองติดอยู่ข้างในหรือข้างนอก
ดังนั้น ขออย่าได้ใส่ใจเลย
ปล่อยฉันให้ทำความเข้าใจกับมันด้วยตนเองเถิด


*