Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


25.9.53

หายใจ Breath


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"

Red Autumn


สูดลมเช้าเสียให้เต็มอก ชื่นหอมวันใหม่เสียให้เต็มตื้น

ยามเช้าหรืออาจยืดเยื้อรอฟื้นตื่นจากค่ำคืนดื่นดึกมืดดำ
.
ครอบงำวิหคเสรีไว้ในกรงกรอบของความควรจะเป็น
.
.
.
เผยดวงตาเถิด แล้วเธอจักเห็นแสงอุษาส่องลอดม่านหน้าต่าง
.
จากนั้นเปิดประตูสู่ความโล่งกว้าง เวิ้งว้างผืนฟ้าผืนดิน
.
เติมหวังลงในความโหวงเหวงแหว่งวิ่นของความขาด
.
.
ใดหรือตามติดดั่งมิตรชิดใกล้

สัจธรรม
.
สรรพอารมณ์ เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด
.
ความเป็นจริงอยู่กับเราตลอดเวลา
.
เราจึงโหยหาความฝัน
.
ลมหายใจของจิตวิญญาณ
.
.
เปิดประตูกรง ทลายกรงกรอบเสียเถิด
.
ปลดปล่อย เพื่อให้วิหคใจได้กางปีกบินไกลภายใต้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี

ความคิดและจินตนาการ
.

สูดลมบนเสียให้ชุ่มใจ
.
สร้างความจริงใหม่ ๆ ให้โลกของตนเอง
.
ด้วยความฝัน


* .
.
Reality is for people who can't make their own world.
ความจริงมีไว้สำหรับคนที่ไม่สามารถสร้างโลกของตนเอง
.
.
...

15.9.53

ฉันถามความรัก (บางสิ่งยิ่งใหญ่ ฤๅ เคยส่งเสียง ๓)


ท่ามความเงียบงันฉันยล

ท่ามมิเห็นหน

แว่วเธอพัมเพรียกเรียกหา


ร้องขานผ่านเย็นธารา

ผ่านไกลขอบฟ้า

สะท้อนผ่านแดดระยิบ


แผ่วแผ่วเพียงเสียงกระซิบ

ผ่าวละอองทิพย์

พริบตาอุ่นอาบซาบซึ้ง


ยลยินท่ามความคิดถึง

ดื่มห้วงคำนึง

รำพึงครบครันวันใหม่


เดินทางมานานเท่าไร

จากไกลเป็นใกล้

ใช่ไหม ฉันถามความรัก


*

บางสิ่งยิ่งใหญ ฤๅ เคยส่งเสียง ๒. การมาถึงของภาณุราชันย์



.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
๑.
ภาณุราชันย์เดินทางมาถึงอย่างเงียบกริบ
ทรงเบือนพระพักตร์ทักทายเทพธิดาแห่งรัตติกาล
นานเพียงใดที่สวนทางกันเช่นนี้ร่ำไป
ชั่วกัปชั่วกัลป์นั่น ฤา จักสิ้นสุด
การเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบก่อเกิดสัมผัสบางเบาผ่านเพียงผิว
กระนั้นเพียงพอต่อการดำรงอยู่ของผู้ตระหนักรู้ชะตากรรม
.
ก้าวย่างสู่ช่วงเวลาผ่อนพักสุขสงบเถิด ดรุณีฟากฟ้า
ในนิทรารมณ์อ้างว้าง หากยังมีความหวังใดหลงเหลืออยู่บ้าง
ฉันอาจปรากฏในฝันของเธอ
.
๒.
โลกจงตื่นเถิด
พลังแสงสว่างยิ่งใหญ่แห่งจักรวาลวาดเท้าเข้ามาให้ชีวิต
... เงียบเชียบ ... เรียบง่าย
ปราศจากวงดุริยางค์บรรเลงเพลงเกียรติยศนำทาง
ค่อยเยื้องย่างอย่างแน่วแน่แม้เชื่องช้า
ด้วยทุกวินาทีถูกคำนวณไว้สิ้น
แสงแห่งเรารินรดหยดหยาดชีวิตบนโลกที่รอคอย
นับแต่สิ่งมีชีวิตเล็กจนตามองเห็น ถึงต้นสนบนเขาสูงเสียดฟ้า
มนุษย์อยู่ระหว่างนั้น
ไม่เคยเป็นที่สุดของสิ่งใด
ไม่ว่าที่สุดความกระจ้อยร่อยหรือโอฬาร
คาดหวังว่าพวกเขาจักมิลืม
.
.
.
.
~

บางสิ่งยิ่งใหญ่ ฤๅ เคยส่งเสียง ๑. รัตติกาล







๑.ไอสีเทาจาง ... ปลิวโปรยโรยละอองลงมาเบา

เทพธิดาแห่งรัตติกาลยุรยาตรเชื่องช้ามาเงียบ ๆ
ภัสตราภรณ์ภูษาเนียนนิ่มฟูฟ่องซ้อนทับลดหลั่นหลายชั้น
จากสีขาวเจือเทาจาง เทานั้นหม่นเข้มดำขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั่งดำสนิท

ครั้นนาฬิกาสุริยจักรวาลอันมิเห็นหน ผันวนยังเที่ยงคืน
เธอจักอยู่ในชุดดำ
การมาเยือนของเธอช่างเงียบเชียบ
เช่นเดียวกับการโคจรของภาณุราชันต์ จันทราราชินี แลมวลเหล่าดาริกา
การเติบโตของหลากล้วนพฤกษา
แลผลิบานแห่งมวลบุษบา
ฤๅ เคยทำเสียง


รัตติกาลก้มลงดอมดมผกาปาหนัน ผู้เฝ้าคอยเวลาเบ่งบาน
ส่งกลิ่นหอมสะอ้าน แทนเสียงขับขานต้อนรับค่ำคืน
เช่นเดียวกับหลากพรรณดอกไม้อื่นที่จักแสดงตัวตนในความมืดเพียงด้วยกลิ่นหอม


เวลาผ่านไป ภูษาเทพธิดารัตติกาลอ่อนจางลงทุกยาม
สีภูษาทรง สุดท้ายสีปุยหมอกรุ่งสางเช่นตัวนอก
หว่างโมงยามผันผ่าน ฉลองพระองค์ถูกเปลิ้องออกทีละชั้น
ปลิวลงครอบคลุมท้องฟ้าแลแผ่นดิน



รุ่งเช้าใกล้มาถึง
ภัสตราภรณ์ชุดสุดท้าย ฟูเบา ขาวหมอกยามเช้า
รัตติกาลยกมือขึ้นปิดโอษฐ์หาว ดวงเนตรบอบช้ำ
ณ นาทีนั้ ที่นี่ หมดหน้าที่แล้ว ถึงกาลพักผ่อน
คืนละจากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นเดียวกับการมาถึงของวัน



~






..

10.9.53

พงไพรในแววตา


















๑. ฟัง

พลิ้วลมโชยรวยรินยินเพลงป่า
ช่อดอกหญ้าโยกโยนในโชนแสง
แดดหลิ่วตาปลอบคนล้า อย่าสิ้นแรง
ท่ามร้อนแล้งที่พักพิงให้อิงใจ

แว่วเพลงอ่อน อ้อนออด ลอดดงพฤกษ์
กลองหัวใจตั๊กตึ๊ก ระทึกไหว
โอนั่นคือจังหวะเต้นเร้นพงไพร
หรือคือเสียง ... หัวใจ ของใครกัน ?

อ้อยสร้อย อ้อยสร้อย ร้อยนึกคิด
ทีละนิดค่อยบรรเลงเพลงเสกสรรค์
คือเพลงฟ้าคลอเคล้าหยอกเย้าจันทร์
คือเพลงวันปลอบขวัญในฝันงาม

แม้ดิบเถื่อนซับซ้อนซ่อนหวั่นไหว
ระยะห่างบนทางใกล้ใจตอบถาม
ตื่นจากฝันแล้วตั้งหน้าพยายาม
เถิดจะพาติดตามความเป็นจริง

ทอดสายตามองสระใหญ่ในรู้สึก
ใต้ล้ำลึกบ่าไหลใช่น้ำนิ่ง
ธารกระจกสะท้อนย้อนเตือนติง
อย่าหลงสิ่งลวงตามายาพราย

กลางป่าซ่อนอโนดาตหยาดน้ำใส
ผ่านรกทึบต่างกันไกลในความหมาย
ประเดี๋ยวกล้าประเดี๋ยวพรั่นอันตราย
ทั้งดึงดัน ... และแพ้พ่ายหลายครั้งคราว ~

๒. พัก

ใต้ร่มไม้ใบหนาจึงมานั่ง
เปรียบอุ่นอังผิงไฟในวันหนาว
เอนบนพรมใต้ต้นไม้ไหวดอกพราว
หาว ... หาว ... แล้วหลับตา ให้ล้าคลาย

หยดน้ำค้าง ตกจากกรวย สวยใบไม้
กระทบแสง พลันวับไว ในแสงฉาย
เกลื่อนกล่น ประดุจเพชร เกล็ดกลาย
ท่ามหลากหลาย ดื่มด่ำ จำเพียงงาม ...

เหนื่อยหนอ เหนื่อยนัก ขอพักก่อน
ฟังลมอ้อนอ้อล้อช่อไม้หวาม
โยกโยนระบัดใบให้ลมตาม
ชมโลกยามเริงรื่นชื่นสายลม




~

1.9.53

แสงแรก First Light of Day



























ใครนะมาเยี่ยมบ้านตั้งแต่รุ่งสาง
ยามแสงแรกโรยละอองอ่อนลงแตะต้องผืนโลกแผ่วเบา
ฤดูกาลปลิดดอกชมพูตะเบบูญ่าร่วงหล่นลงตั้งแต่ปลายกุมภา
หากช่อน้อยดอกปีบยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ
มะลิซ้อนพรูพรั่ง ขาวเปล่งปลั่งไม่ลาโรยใต้โปรยฝอยฝนวสันตฤดู
รับรู้การเยี่ยมเยียนและผ่านผันของลมเช้า


ใครกัน มาเยี่ยมบ้านตั้งแต่เช้า ขณะดวงดาวคล้อยละฟากฟ้า ...
ขณะแสงอุษาจุมพิตหยดน้ำค้างบนยอดหญ้า ... อ่อนโยน
เธอพกพาสิ่งใดมาด้วยหรือ
ความรัก ความชัง
แค้นคลั่ง อาดูร
หรือเพียงความเวิ้งว่างภายในของผู้ไร้รวงรัง


สวนนี้ไม่มีหรอกดอกมะลิลา
สนามหญ้าหนานุ่มรอรองรับเท้าเปลือยเปล่าของใครหรือ
กี่คนเล่าปรารถนาสัมผัสแนบสนิทผืนดิน
ที่ไม่เคยสั่นคลอน แม้ความตาย
ณ ใต้ร่มตะเบบูญ่านี้


พวงกุหลาบเลื้อยส่งกลิ่นอุ่น
ยามอรุณส่งรังสีเจิดจ้าขึ้นเรื่อยเรื่อย
คอยคนปลูกมาชมงาม ชื่นหอมนิรันดร์ของเธอ


ประตูเปิดแล้ว
แสงนอกสาดรังสีเหลืองประกายแสด เข้าอาบอุ่นห้องขาวหนาวเย็น
... และเธอ
ย่างก้าวเท้าเพรียวลงบนเรียวหญ้าหนานุ่ม
ชุ่มชื่นหลากสีธรรมชาติรอบกาย
กลมกลืนคล้ายมลายหายท่ามทั้งหลายที่รอคอย
และรอยเท้าคู่นั้น ...


~

โดย มนุษย์

และรอยเท้าคู่นั้น..

อรุณทอแสงเป็นเส้นรุ้งทอดผ่าน
ดวงตามืดบอดบอบช้ำ
ย่ำเดินย่องโดดแดดิ้นราวเด็กน้อย
ยามดอกรักโปรยปรายดั่งสายฝน
ตัดเสี้ยวตะวันทิศตะวันออกเมื่อ
สักครู่หนึ่ง เพียงชั่วครั้ง
และไม่อาจรับรู้ถึงอดีตกาลของวันพรุ่ง
ฉันซุกตัวใต้อ้อมกอดเงาไม้
เพื่อถ่ายเทความงามสู่โลก
และฝากรอยเท้าคู่นั้นสลับ
เรียงรายราวร่องรอยรักร้าง
ปนเปไปกับดินทราย
สูดแสงจันทร์ยามค่ำแทนอากาศบริสุทธิ์
ละเลียดความฉ่ำบานของกุหลาบไร้กลีบ
ย่ำเท้า ย่ำเท้า
เพื่อให้รอยเท้าคู่นั้น
เป็นความทรงจำที่สถิต
อยู่ในความทรงจำของรอยเท้า
คู่นั้น.

*

"มนุษย์"เขียนดีจนต้องนำขึ้นมาจากข้างล่าง
ขอบคุณค่ะ