Home Photo

Home Photo
Happy New Year 2019

สวัสดีปีใหม่ค่ะ
กว่าจะมาสวัสดีได้ก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เราก็ยังมีอีก 11 เดือนครึ่งที่เหลืออยู่ให้ได้ทำอะไร ๆอย่างที่ใจปรารถนา
ขอส่งความรู้สึกดี ๆ ส่งแรงกายและแรงใจ และความเบิกบานเป็นสุขถึงเพื่อนอ่านทุกคนค่ะ

ลงภาพวาดหมายเลข 5 ซึ่งเป็นภาพเล็กหรือภาพลองวาดในกระทู้ "บทกวีบนแคนวาส"แล้วนะคะ

จัสมิน
15 มกราคม 2562


31.3.53

หญิงเย็บผ้ากับชายช่างทำรองเท้า ตอน 2และ 3 The sewing maiden and the shoemaker (2)


Village in Winter by Matija Jama

2
(โดย คุณใหม่)


หลังผ่านหลายชั่วคืนอันอุตสาหะ
ท่ามกลางความสงบวิเวกแสนสันโดษ
ชายช่างทำรองเท้านั่งประดิษฐ์ประดอยงานฝีมือชิ้นเยี่ยมของเขา
กลางแสงจันทราและลมหนาว
จากค่ำจันทร์อิ่มดวงถึงคืนดาวพร่างพร้อย
งานที่สวยงามจากใจสวยงามและมุ่งหวังสู่คืนวันที่สวยงาม
ก็สำเร็จลงเมื่อกลุ่มดาวไถเคลื่อนคล้อย
กลุ่มลูกไก่กรูเกรียวไล่จับกันไปลับฟ้า
และแก่ก่ำดั่งโกเมนเอกแห่งดาวพระอังคารโชนดวงขึ้นสูง
เขาหลับไปอย่างเป็นสุข . . .
เพียงส่วนเสี้ยวนาฑีเดียว ก่อนที่ดาวปาริชาติจะชิงดวงดาวพระอังคาร !!

~~~

อรุโณทัยพรายพร่างห่มผืนดินเหมันตฤดู
อย่างยิ้มแย้ม ... ช่างทำรองเท้านำรองเท้าไปผึ่งในแสงแรกบนรั้วไม้
เสียงไอโขลก ๆ จากแม่ผู้ชราดังมาจากในบ้าน
เขาผละไปดูแลแม่ผู้เป็นเพียงดวงประทีปเดียวแห่งชีวิต


"สวัสดีช่างทำรองเท้า"
ชายอ้วนลอดประตูเข้ามาพร้อมเสียงทักทาย
"รองเท้าข้างนอกนั้นโปรดขายแก่ฉันผู้เป็นเจ้าของร้านเครื่องหนังโตใหญ่ 
และเป็นตัวแทนแห่งเจ้าหญิง
ซึ่งไม่อาจหารองเท้าถูกใจเพื่อสวมใส่ไปงานเต้นรำประจำปีได้
แม้ได้ค้นแล้วจากร้านรองเท้าทั่วแว่นแคว้น
ทรงเกรี้ยวกราดช่างรองเท้าประจำราชสำนักและข้าราชบริพารมาหลายเพลาแล้ว
หวังว่าท่านคงเข้าใจ"

"ฉันมิอาจขายให้ท่านได้
นี่เป็นรองเท้าเพื่อหญิงสาวของฉัน
หญิงสาวผู้เป็นที่รักยิ่งของฉัน
ท่านโปรดเข้าใจ"

"งานเลี้ยงจะเริ่มในอีกเพียงไม่กี่ราตรี
และไม่เคยมีใครขัดพระทัยเจ้าหญิงได้
ฉันจะกลับมาที่นี่อีก
... ท่านเอง น่าจะเข้าใจ"


~~~~
.

... ชายเจ้าของร้านเครื่องหนังกลับมาอีก
มาพร้อมคำบัญชาแห่งเจ้าหญิง
สนธยากาลคลี่คลุมอย่างเศร้าสร้อย
จันทร์ดับ 
หมู่ดาวทั้งปวงก็เร้นแสงราวจะพ่ายเงื้อมเงารังสีของดาวมฤตยูจนหมดสิ้น
มืดมนอนธกาลไปหมดทั้งบ้านน้อยและหัวใจ


*


3.


รองเท้าถูกนำกลับไปแล้ว
รองเท้าที่ตัดตามรูปขนาดเท้าของหญิงคนรัก
รองเท้าคู่สวยที่สุดในเมืองเล็กๆแห่งนี้

ชายอ้วนมอบเงินก้อนโตให้ช่างทำรองเท้า
"อย่าคิดมาก แม่ท่านป่วยเรื้อรังหนักหนา โปรดใช้เงินนี้พาไปรักษาตัว
...และฉันมีเสื้อคลุมสวยงามตัวหนึ่งอยู่ที่ร้าน
ขอมอบให้ท่านเป็นสินน้ำใจ
เพื่อท่านจะได้ผ่านฤดูหนาวแสนเยียบเย็นนี้ไปได้อย่างเป็นสุข"

"นั่นเป็นรองเท้าเพื่อหญิงสาวของฉัน
หญิงสาวผู้เป็นครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณฉัน
ซึ่งพวกท่านไม่อาจเข้าใจ"

... รองเท้าได้ถูกนำกลับไปแล้วพร้อมทั้งหัวใจของเขา

"ลูกรักหายไปไหนมา" แม่เฒ่าผู้ชราถาม
"ฉันไปเช่าเกวียนมา จะพาแม่ไปหาหมอ"
หญิงชราชี้ไปยังเสื้อคลุมตัวหนึ่ง
"คงมีใครมาหาเจ้าตอนที่แม่ยังหลับอยู่แล้วไม่กล้าปลุก
จึงวางเสื้อคลุมไว้บนที่นอนของเจ้า
พร้อมกับดอกไม้
ช่างเป็นเสื้อคลุมที่สวยงามเสียจริง
ใครคนนั้นคงนำเสื้อมามอบให้เจ้าแต่ไม่พบ"

"เจ้าหมูอ้วนสกปรก ! ข้าไม่ต้องการของของเจ้า !!"
ช่างทำรองเท้ามองเสื้อแล้วร้อง
ความโศกเศร้าพลิกกลายเป็นโทสะ
เขากรีดเสื้อเป็นทางยาวด้วยใบมีด
แล้วขยำไปขว้างทิ้งใส่เขรอะโคลนหน้าบ้าน
คล้ายหัวใจเองก็โดนเชือดเช่นกัน

บ่ายจัด ในท่ามฝุ่นควันคละคลุ้ง
ที่คล้ายรอยเกวียนตะกุยทิ้งไว้ด้วยขุ่นมัว
หญิงเย็บผ้านั่งกอดเสื้อคลุมขาดและเปื้อนโคลนไว้แน่นอก
ร่ำไห้
หัวใจแตกสลาย


*

27.3.53

หญิงเย็บผ้ากับชายช่างทำรองเท้า ตอน 1 The sewing maiden and the shoemaker (1)





 

 1
ในห้องขมุกขมัวและหนาวเหน็บ
หญิงเย็บผ้าร้อยด้ายเข้าไปในรูเข็มอย่างยากลำบาก
เธอยกปลายเส้นด้ายขึ้นแตะลิ้น ขมวดปลายให้แหลมๆ
อา ในที่สุด

เธอมุ่งมั่นเย็บเสื้อให้คนรัก เสื้อที่สวยที่สุด ทั้งนุ่มทั้งอบอุ่น เหมาะสมจะอยู่บนร่างของเขา
เธอไม่แน่ใจว่าเสื้อตัวนี้จะออกมาอย่างใจ
ได้แต่บอกตัวเองว่า ทำให้ดีที่สุด
หน้าที่เธอคือเย็บเรื่อยไปจนกว่าจะเสร็จ

ชายช่างทำรองเท้าตัดหนังชามัวร์ตามขนาดเท้าของคนรัก
เขาสนเข็มด้วยด้ายเหนียว
รองเท้าคู่นี้ต้องทนทาน ใช้งานได้นานปี
เขาจะติดพลอยแอมเบอร์สีอำพันลงบนหนังสีเขียวอ่อนอมเทา
มันต้องเป็นรองเท้าคู่สวยที่สุดในเมืองเล็กๆแห่งนี้
ที่สำคัญมันต้องใส่สบาย เกือบไร้น้ำหนัก
เขานึกเห็นภาพเธอเยื้องกรายเต้นรำในวันแต่งงาน
เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อทำรองเท้าเสร็จแล้วจะได้อย่างใจเขาไหม
กระนั้น เขาก็ก้มหน้าก้มตาทำมันต่อไปให้ดีที่สุด
หญิงเย็บผ้ามองผ่านหน้าต่างไปยังท้องฟ้า
ก้อนเมฆหม่นดำบดบังแสงตะวันเจิดจ้า
หากลำแสงหนึ่งลอดผ่านก้อนเมฆลงมา
ลำแสงสีอำพันอันชายคนรักเลือกประดับบนรองเท้า
รองเท้าที่เขาหวังนักหนาว่าจะเป็นรองเท้าคู่สวย
เธอมองไปยังลำแสงนั้นแล้วอธิษฐาน
"ลูกต่อพระบิดาเจ้าผู้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์
ลูกขอมอบวันนี้ ชีวิตของลูก ชีวิตของผู้เป็นที่รัก
การงานของลูก และเสื้อที่กำลังเย็บอยู่นี้
ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
ไม่มีอันตรายใดๆ
มีแต่ความดีงามในพระเจ้า
เพราะเมื่อสิ่งใดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว
ก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
และเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น"
เธอกอดเสื้อตัวนั้นไว้แนบอก
ซบนิ่งอิงแอบอยู่ในรมณียรสแห่งรักลึกล้ำนั้น

*

23.3.53

จดไว้จำ (๑) - บางความดีใจ

๒๓ มีนาคม ๒๕๕๓
บางคนฝากไว้
.........................

รวมเล่มเถอะคุณ
งานคุณน่าจะได้กระโจนออกไปให้คนได้สัมผัส

"งบประมาณการพิมพ์บทกวี ความจริงควรเป็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพราะไม่มีทางหรอกที่คนอ่านบทกวีที่สวยงามอย่างเข้าถึง จักเลวทรามต่ำช้า
คนเขียนบทกวีมีหน้าที่ช่วยควบคุมศีลธรรมของชาติอยู่ในที
จากคำนำของ พิเชษศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์"

.......................
ดีใจ :D
.
.
.
.
.


...

22.3.53

รอยแตกบนผิวเวลา


.
.
.
.
.
.
.
.
.
ฉันเห็นรอยแตกนี้… เมื่อต้นคืนคืบคลานสู่ปลายวัน
คืนวันค่อย ๆ บรรจบ...เหลื่อมซ้อน
เกิดคำถาม...
ความมืดอุดรอยต่อเวลาได้หรือ
และความสว่างเล่า อุดรอยแตกนั้นได้ไหม
.
หากมายาถูกห่อหุ้มด้วยพื้นผิวที่มีอยู่จริง จะยังคงเป็นมายาอยู่หรือไม่
หรือจากลวงตา มันได้กลายเป็นจริงไปแล้ว ?
.
ระหว่างรอยแตกบนผิวเวลานี้
มนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งสนธยากาล อย่างสันโดษ
...เพื่อค้นหาตัวตน...เพื่อค้นพบคำตอบ...
.
ค้นหา...ค้นพบ...เพื่ออะไร
เพื่อขายวิญญาณต่อคำตอบอันกำหนดได้แล้ว
หรือเพื่อยิ่งใหญ่แห่งตัวตน...
เพื่อผลงานอมตะ หรือเพื่ออ่อนน้อมถ่อมตน
เพื่อเหนือกว่า เพื่อเท่าเทียม หรือต่ำด้อย
เพื่อแปลกแยกแตกต่าง
หรือเพื่อเป็นเนียนเนื้อเดียวกันกับมนุษยชาติ
.
อา...สนธยากาล ท่านมอบสิ่งใดให้เหล่าผู้แสวงหาหรือ
.
สิ่งที่ท่านมอบให้... เป็นบางอย่างในทุกสิ่ง
ทุกสิ่งในบางอย่าง
ทุกอย่างในทุกสิ่ง
หรือจริง ๆ แล้ว... สิ่งที่ท่านมอบให้ ...
คือความไม่มีอะไรเลย
.
~
.
๒. แห่งห้วงสนธยา
.
ผู้แสวงหาออกเดินทาง....
ค่อยก้าวย่างถามใจไขปัญหา
เสาะแสวงตัวตนในสนธยา
แหว่งโหว่ค้างคามาเนิ่นนาน
.
ดินแดนไกลกว้างแห่งอ้างว้าง
เคว้งคว้างว้าเหว่เร่ละหาน
หวังค้นพบคำตอบหว่างอนธการ
หวังเพาะหว่านต้นกล้าตราตัวตน
.
เพียงคนเดียวบนเส้นทาง
ถามพลางตอบพลางกลางหน
ไร้ใครเข้าขวางในเวียนวน
ไม่เปื้อนปนข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์
.
มีเศร้าเหงาทุกข์เป็นที่พึ่ง
ลึกซึ้งงันเงียบเสาะสิ่งเร้น
ซ่อนใดเราจักพบในลำเค็ญ
อันจะเป็นคัมภีร์ที่บูชา
.
~
.
๓. บทส่งท้าย
.
อา...สนธยากาล
ท่านมอบสิ่งใดให้เหล่าผู้แสวงหาหรือ
สิ่งที่ท่านมอบให้... คือบางอย่างในทุกสิ่ง
ทุกสิ่งในบางอย่าง
ทุกอย่างในทุกสิ่ง
หรือจริง ๆ แล้ว... สิ่งที่ท่านมอบให้คือ
ความว่างเปล่า ...
.
.
.
.
.

18.3.53

วินเซนท์ แวน ก็อกห์ - ร้านกาแฟริมถนน (10)

Cafe at Night by Vincent Van Gogh

.
ร้านกาแฟริมถนนพระอาทิตย์


จากตะวันตกสู่ตะวันออก...

หนีม่านหมอกหม่นมัวฤดูใบไม้ร่วง

ชาชินกลิ่นใบแห้งผุเก่าทับถม

ตามหาแสงตะวันร้อนแรงแห่งอาคเณย์

แผดเผา ทะลุทะลวงผิวผ่าวร้อน



ร้านกาแฟริมทางบนถนนพระอาทิตย์

หนึ่งแหล่งซึมซับรับรู้ สอดส่ายสายตา...

หามิตรจากความแปลกแยกแตกต่าง

เพียงเพื่อบทสนทนาอันมิเคยคุ้น

ทั้งหัวข้อหนักอึ้ง

และเบาหวิวกว่าขนนกในสายลมอ่อน



หลังการสนทนา...

ปีกในอกกระพือ

สาวเท้าก้าวเดินต่อไปเพื่อแสวงหา...

บางสิ่ง...มาเติมเต็มความว่างเปล่า


บางสิ่ง...มาแทนที่...บางอย่าง


บางอย่าง...ซึ่งสูญหายไปกับความเจริญ





...


ผีเสื้อกวี


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
...
เขาเขียนความถามทวงแทนปวงชน
แม้ลมฝนโหมกระหน่ำกรำคืนหนาว
แบกความหวังละมุนอุ่นแสงดาว
ด้วยดวงใจสีขาวกล่าวคำกวี
~
ยามอ่อนแรงรอแสงเช้าเจ้าผีเสื้อ
บินร่อนเหนือดงดอกไม้สดใสสี
เกลือกเกสรซ้อนลายร่ายวจี
แทนผู้ที่่รันทดหมดกำลัง ...
.
.
.
.
.

15.3.53

งดงามแห่งผสานผสม (ดอกไม้จากแดนใต้)


ดอกไม้

จาก

แดนใต้

.

ภาพ โดย "แตออ"

.

..

เช้าวันนี้สดใสกว่าหลายเช้า

แสงแดดเบาเพรางายพรายเงาแสง

แรงแดดสายตกบ่ายคลายแสงแรง

ฤาลมแกล้งหอบเมฆเสกฝนฤา

.

อุ่นเย้าก่อนย้อนเก่าเหย้าเคยอุ่น

ถือความรักร่วมหุ้นทุนร่วมถือ

ลือกลมเกลียวท่ามแตกต่างช่างเลื่องลือ

ใจกับมือสอดประสานผ่านอุ้งใจ

.

ต่างยามนี้คล้ายแยกเพราะแตกต่าง

ใกล้ชิดกลับไกลห่างระหว่างใกล้

ไปทางโน้นมาทางนี้ชี้ให้ไป

ตีกรงกรอบขีดเส้นใต้ใครให้ตี ?

.

เหมือน-ไม่เหมือน ผู้คนล้นความเหมือน

หนีฟายเฟือนทุกข์เข็ญเข่นให้หนี

กลียุครุกขยี้แผ่นดินกลี

ชาชิน ... ชะตาชี้จนเชือนชา

.

เถิดพินิจพิศผกาดอกนี้เถิด

จ้าสีส้มบังเกิดบนเหลืองจ้า

นภาส่งถ้อยหว่านสารนภา

งามนักหนากลมกลืนมาฟื้นงาม

.

โศกดอกไม้ผลิบานบนลานโศก

ถามน้ำตาท่วมโลกจนล้าถาม

ลามระอุเปลวไฟที่ไหม้ลาม

คนกำหนดนิยามความเป็นคน

.

กลีบต้องมีสีเดียวหรือเรียวกลีบ

ถนนสายเร่งรีบปลิดชีพถนน

ยลสองสีผสมผสานฐานแยบยล

นัยกลบ่งชัดรหัสนัย

.

ตาเห็นงามเรียบง่ายในสายตา

ใสปรัชญาธรรมชาติสะอาดใส

ใจหากหวังซ่อมสร้างบนทางใจ

บานดอกไม้ดอกใหม่ได้แย้มบาน

.

..

.

*ดอกไม้ไม่ทราบชื่อจากบ้านคุณแตออคนถ่ายภาพ ... แปลกตาจนต้องเขียน เฉพาะดอกนี้มีสองสี ดอกอื่น ๆ มีสีเหลืองเพียงสีเดียว ต้นเป็นพุ่มสูงเท่าต้นเทียน แต่ผอมบางกว่า*

.

.

.

14.3.53

เงาดอกไม้ใต้แสงร้อน 2553

 

 
เงาดอกไม้สุขเศร้าในเงาโศก
วันที่โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า
วันพวกเธอ พวกฉัน วันพวกเรา
ดอกไม้เฉาใต้แสงแดงตวัน 
 
 
ต่างเฝ้ามองหาฝั่งยังไม่เห็น
ท่ามทุกข์เข็ญตระหนกหลายผกผัน
ท่ามซับซ้อนปัญหาสารพัน
ไทยด้วยกันตรงนี้ที่ควรมอง

 
เราจักมองหารักจากความรัก  
ไว้พิงพักดวงใจในโลกหมอง
พระจันทร์เพ็ญเปล่งปลั่งยังสีทอง
เพียงจับจ้องมองให้ซึ้งถึงแก่นใน

 
บางความสุขอาจแทรกแลกโศกเศร้า  
คล้ายเห็นเงาดอกไม้ในน้ำใส
กันและกันมองเห็นเป็นคนไทย
ระหว่างเมืองหม่นไหม้ขอให้มอง
 
 
*
 
 
 
 

13.3.53

เกล็ดตะวันในแววตา โลกเล็ก ๆ




















painting by Jenette le Grue



๑. เกล็ดตะวันในแววตา


ค่ำจูงมือพาไปในแสงค่ำ
ขวัญดื่มด่ำมนตราภาษาขวัญ
จันทร์แว่วขลุ่ยเอื้อนอ่อนอ้อนคำจันทร์
เยาว์เพลงฝันดึกดื่นคืนยังเยาว์


มือหนึ่งในอีกมือ
ไม่ผิดตัวหนังสือ-กระดาษเปล่า
เจ้าเอย ... เคยคว้างระหว่างเงา
กระดาษเหงาน้ำหมึกว้างสร้างรวงรัง


จึงได้เกิดเรื่องราวได้เล่าไว้
กำหนดใจชื่อตอนเผื่อย้อนหลัง
เบิกโรงอ้อยสร้อยน้อยกำลัง
ทะเลในคงยังขังน้ำตา


ต่างเอื้อมคว้าตัวโน้ตบนโขดเมฆ
ดั่งโดนเสกลอยล่องผ่านฟองฟ้า
เกี่ยวก้อย คอยเก็บเกล็ดทิวา
เพื่อวางไว้ ในดวงตา ข อ ง อี ก ค น




*

10.3.53

คำถ้อย / More than Words

ฟ้าดอกจ้อยหลังฝน / Little blue flowers after the rain by Jasmine


ฤดูหนาวสับสนต้นมกรา

พายุฝนกระหน่ำมวลผกาหน้าแล้งพรูพลัดจากต้น

ร่วงหล่นกระจัดกระจาย เรี่ยรายลงห่มดินชื้น

กลายผืนพรมชมพูตะเบบูญ่า

พรมเปียก ๆ


ฤดูหนาวกลับคืนมา
เดือนมกราผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก 

บางคน บางที เอื้อมคว้าบทกวีในอากาศ
บางครั้งนิ่งคอย
ขนนกคล้อย ลอยแทรกลมหน้าแล้งมาอย่างอ้างว้าง
คนเคว้งคว้างคว้าไว้
ปลายปีกนกกลายเป็นปากกา คราจุ่มลงขวดน้ำหมึก 


ลมร้อนแหวกม่านสีแดดกลางกุมภา ข่าวสารเดินทางมาถึง
ตะเบบูญ่าร่วงพรูเป็นสาย พรายดอกพลิ้วปลิวลมลงมาห่มตู้ไปรษณีย์สีเขียวก่ำ
ดอกหญ้าสีฟ้า ใครหนอเรียกดอกฟ้าคราทัดผม
บางความเป็นจริงในชีวิต ไม่ผิดเรื่องโกหก
ความสะดวกสบายสูญหายอยู่ปลายทุกข์
ความสุขไม่เคยอ้อยอิ่งเลยใช่ไหม 
ปราชญ์ว่า ผู้เขลาขลาดวาดฝัน
ขณะผู้เปรื่องปราชญ์มองเห็นภาพ

เราคงไม่ใช่ผู้เปรื่องปราชญ์


วันดี ๆ มีหรือเป็นไปไม่ได้ กระนั้น เป็นไปได้ไม่ทุกวัน
แต่ยังคงตั้งใจที่จะวางสิ่งดี ๆ ลงในเวลา

วางสิ่งดีดีลงในเวลา
เพื่อรอยยิ้มประกายตา วาบไหว

ยามอ้างว้างอย่างที่สุด มองหัวใจ

เห็นไหมนั่นใคร? ปาดน้ำตา





*

ตรึงตราสายัณห์ (A Quiet Conversation To The Fool On The Hill)




















ภาพโดย Jose a Gallego


ริมฝั่งแม่น้ำน้อยยามสายัณห์ ฉันสนทนากับคนบนภูเขา

ด้วยถ้อยคำปราศจากเสียง

คุยกันยาว ... คุยกันนาน


เราจับตาจ้องมองดวงตะวันลอยต่ำ

ผกายทองคำอาบน้ำ อาบฟ้า

สายัณห์ละลายเสี้ยวแสงส้มเรื่อ เจือชมพูกุหลาบ

ทิ้งภาพการจากพรากเพียงชั่วยามอย่างตรึงตรา


..

มกราคม

เรือน้อยคล้อยเคลื่อนสู่เรือนริมฝั่ง

รวงรังยังรอคอย

แม้คนพายมองไม่เห็น

หากดวงใจตระหนักรู้


ผีเสื้อขยับปีก เกิดกระแสลม

โลกใบใหญ่หมุนไป และ หมุนไป

ฉันนั่งมองโลกเล็ก ๆ ของฉัน ... หมุน ...


...บัทเทอร์ฟลาย เอฟเฟคท์ ยังวนเวียนในห้วงคำนึง

อา ... การกระพือปีกของผีเสื้อ ~


*
.


9.3.53

คนโง่บนภูเขา

วันแล้ววันเล่า โดดเดี่ยวบนภูเขา
ชายผู้มีแววตาเหม่อลอยสงบนิ่งไม่ติงไหว
ไม่มีใครอยากรู้จัก ก็แค่คนโง่คนหนึ่ง
และเขาไม่เคยตอบโต้

แต่เขาคนนี้หรือไม่ใช่
เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ...
หมุนไป และ หมุนไป ...

หนทางราบเรียบ
ดุ่มเดินฝ่าหมอกเมฆ
ชายผู้มีพันเสียงบอกกล่าวป่าวร้อง
พยายามถ่ายทอดครรลองความรู้สึก
จากห้วงลึกก้องกู่สู่หูผู้ไม่เคยได้ยิน
และดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจ

ไม่มีใครชอบเขา ผู้ไม่เคยร้องเรียกสิ่งใด
เขาผู้ไม่เคยแสดงความรู้สึก

แต่เขาคนนี้หรือไม่ใช่ เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ... หมุนไป และ หมุนไป
... และเขาก็ไม่ฟังคนพวกนั้น ด้วยรู้ว่าล้วนพวกโง่
พวกนั้นชิงชังเขา คนโง่บนภูเขา

แต่เขาหรือมิใช่ ผู้เห็นดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงลับวัน
อนันตดวงตาในห้วงนึกจับจ้องมองโลก ... หมุนไป และ หมุนไป
... เห็นโลกหมุน หมุน และ หมุน ...*




คนโง่บนภูเขา “Fool on the hill” ของ “The Beatles” เนื้อร้องทำนองโดย Paul McCartny “เขียนขณะนั่งอยู่หน้าเปียโนที่บ้านพ่อในเมืองลิเวอร์พูล กดคอร์ด D6th แล้วแต่งเพลงนี้”

6.3.53

วินเซนท์ แวน ก็อกห์ 9. ดอกไม้แห่งช่วงเวลา The Blossoming Almond Tree
























Blossoming Almond Tree by Vincent van Gogh(1890)


อัลมอนด์พรูพราวขาวนวล
อย่าเพิ่งด่วนโรยรา
กรุณา...

แม้แสงเจิดจ้าแห่งฤดูร้อนพร้อมโผบินจากไกล
ขอเธอรั้งรอต่อไปเพียงไม่นาน
คลี่กลีบแย้มบานอยู่กับก้านอีกสักหน่อยนะ.
อัลมอนด์แสนหอม
เธอผู้ดำรงอยู่ในแก้วตาสีฟ้าของฉันในขณะนี้
ขอฉันได้สัมผัสความงามของเธอ
ด้วยดวงใจอันเปี่ยมรัก

ก่อนจากพราก
ขอฉันฝากรอยอาวรณ์ผ่านมือและนิ้วที่รู้คุณโลก...
ถ่ายทอดความงามและกลิ่นหอมของเธอ
ลงบนสีขาวแห่งผืนผ้าใบ

คืบคลานเข้ามาแล้วระลอกคลื่นมืดมิด
ครอบคลุมความคิดจนฉันไม่อาจเห็นหน
ได้แต่ดิ้นรน
แหวกว่ายเวียนวนอยู่ในทะเลสีดำ

แต่
อัลมอนด์แสนงาม อย่าสมเพชเวทนาฉันเลย
.
ผ่านดวงตาคู่นี้
ฉัน จักจารึกความงามของเธอ
ซึ่งสดสคราญเบ่งบานอยู่ ณ ข่วงเวลา
และแล้วละทิ้ง
... ไว้เบื้องหลัง

ดังนั้น อัลมอนด์ดอกน้อย ขอเวลาฉันอีกสักหน่อย



*
จดหมายจากวินเซนต็ถึงธีโอน้องชาย 30 เมษายน 1890

"ฉันไม่สบายอยู่ตลอดเวลา กำลังวาดภาพอัลมอนด์ออกดอกบานเต็มต้น
ถ้ายังทำงานต่อไปได้ เธอคงจะตัดสินจากภาพต้นไม้ออกดอกพรั่งพรูชนิดอื่น ๆ
ทว่าช่างโชคร้ายเหลือเกิน ฤดูดอกไม้บานกำลังจะผ่านพ้นไป
ใช่ ฉันต้องพยายามออกไปเสียจากที่นี่
แต่ไปไหนล่ะ
ฉันไม่คิดว่าจะปิดปากเงียบต่อไปได้อีกแล้ว
ทั้งยังเป็นนักโทษอยู่ในสถานรักษาที่พวกเขาไม่ได้เสแสร้งเลยว่า...
จะปล่อยให้ฉันอยู่อย่างอิสระ"



.....

5.3.53

เจ้าชายแห่งการโต้แย้ง Prince OF PaRadox








Gilbert Keith Chesterton
Prince of Paradox

ภาพจาก
Wikipedia



The way to love anything is to realize that it may be lost.
Gilbert Keith. Chesterton

กิลเบิร์ต คีธ เชสเตอร์ตัน นักเขียนนักการเมืองผู้มีสมญานามว่า เจ้าชายแห่งการโต้แย้ง (Prince of Paradox) เป็นชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ระหว่าง 29 พฤษภาคม 1874 – 14 มิถุนายน 1936 เชสเตอร์ตัน บอกว่าเขาใช้สำนึกไม่สามัญ (Uncommon Sense) ในการถกเถียง

1.

การบูชาบ้าคลั่งของพวกนอกกฎหมายและพวกวัตถุนิยมบูชากฎหมาย ล้วนจบลงในที่ว่างเดียวกัน

นิชเช่ ไต่ภูเขาที่โอนเอนกลับพบตนเองอยู่ในธิเบต
เขานั่งลงข้างตอลสตอยในดินแดนแห่งความว่างเปล่าและนิพพาน ทั้งสองช่วยเหลือตนเองไม่ได้
คนหนึ่งไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้เลย ในขณะที่อีกคนก็ปล่อยอะไรไม่ได้สักอย่าง
พวกถือตอลสตอยชาแข็งด้วยความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ว่าการกระทำที่พิเศษทั้งหมดล้วนชั่วร้าย
และพวกถือนิชเช่ก็จะชาแข็งเช่นกันกับความเห็นของเขาที่ว่าการกระทำที่พิเศษทั้งหมดเป็นสิ่งดีงาม
ดังนั้นการกระทำที่พิเศษทั้งหมดที่ดีงาม จึงไม่ใช่การกระทำที่พิเศษ

ทั้งสองยืนอยู่ที่ทางแยก
คนหนึ่งเกลียดทางทุกสาย อีกคนชอบถนนทุกทาง
ผลลัพธ์คือ-นั่นละ บางอย่างยากต่อการคำนวณ
ทั้งสองยืนอยู่ที่ทางแยก


2.

ออสการ์ไวลด์กล่าวไว้ อาทิตย์ตกนั้นไร้ค่า เพราะเราไม่สามารถจ่ายค่าอาทิตย์ตก
ออสการ์ ไวลด์ผิด
เพราะเราสามารถจ่ายค่าอาทิตย์ตกได้ด้วยการไม่เป็นออสการ์ ไวลด์"


3.

บทเรียนเดียวกัน (ของพวกเพลิดเพลินกับการแสวงหาทางลบ)
ได้รับการสอนสั่งโดยนักปรัชญาผู้อ้างว้างและทรงอิทธิพล ออสการ์ ไวลด์
ศาสนาแห่งการฉวยคว้าวันเวลาเอาไว้ไม่ใช่ศาสนาของผู้มีความสุข
แต่เป็นของพวกมีทุกข์
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่การเก็บกุหลาบตูมในเวลา
หากดวงตานั้นจับจ้องอยู่ที่กุหลาบที่ไม่มีวันโรยรา ที่ดานเต้เห็น


เชสเตอร์ตันรู้จักกับออสการ์ ไวลด์เป็นการส่วนตัว และสนิทสนมกับ จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ มาก เขาชอบนำถ้อยคำของทั้งสองมาโต้แย้ง
อ่านแล้วสนุกดี เลยนำมาบอกเล่าแค่สิบ



~


~


~

4.3.53

มีจันทร์เป็นเพื่อน





















ภาพโดย Oscar Vall Gallen

ข้างนอกนั่น

เสียงใคร บอกจันทร์ว่าหวั่นไหว

เสียงใครขอขวัญกำลังใจ

เสียงใครบ่นหน่ายในหม่นเงา


ข้างนอกนั่น

สองมือคนฝันสู่จันทร์เจ้า

คว้าธุลีสีทองละอองเบา

เก็บเข้าหัวใจไว้ชมนวล


ในสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องห้องแคบแคบ

ที่ซุกแอบมุมตึกลึกในสวน

ใครหอบหอมราตรีที่อบอวล

แล้วแต้มแสงรัญจวนห้องนวลเดือน


กระดาษรอพบกันกับน้ำหมึก

หลากถ้อยคำจารึกค่อยคล้อยเคลื่อน

เคยล่องลอยแต่หลังสู่รังเรือน

ฉันมีจันทร์เป็นเพื่อนเหมือนเช่นเคย... *





....


...

.

3.3.53

ฝูงกาเหนือทุ่งข้าวสาลี (8) Wheat Field with Crows by Vincent Van Gogh




Vincent van Gogh: Wheat Field with Crows ภาพฝูงกาเหนือทุ่งขาวสาลี โดย วินเซนท์ แวน โก๊ะห์

เหนือท้องทุ่งข้าวสาลีลีเหลืองทอง
แนวหญ้าเขียวสองข้างบ่งบอก
หนทาง ... มุ่งหน้าสู่ปลายฟ้า
กระนั้น มิเชื่อมโยง
.
สุดสายปลายทางจักพาข้าฯสู่หนใด
โปรดอย่าถาม
ข้าฯไม่อาจรู้

ท้องฟ้าบอกเวลาใกล้ค่ำ
ทว่าแสงเหลืองจัดจ้ามาจากหนใด
โปรดอย่าถาม
ข้าฯไม่มีคำตอบอื่นใด นอกจากนั่นคือสิ่งที่ข้าฯเห็น !

ฝูงกาดำโบยบินเหนือทุ่งข้าวสาลี
ปีกสีมรณะกระพือสบัด
พวกมันมีกี่ตัว ข้าฯไม่อาจนับ
พวกมันมาจากแห่งหนใด โปรดอย่าถาม
ข้าฯไม่รู้

ไม่มีคำตอบอื่นใด
นั่นคือสิ่งที่ข้าฯเห็น !

ฝูงกาดำบินมาจากทุกทิศ
ข้าฯเห็นปีกของมันกระพือสบัด
จู่โจมท้องฟ้าและนาข้าวสาลี
เพียงครู่กลบผืนฟ้าผืนดินสิ้น


ณ วินาทีที่ข้าฯไม่อาจเห็นสีเหลืองเจิดจ้าของรวงข้าวสาลี

ณ วินาทีนั้น หยดเลือดสีแดงจักตกต้องพสุธา

แทนคำขอบคุณแผ่นดิน
ที่สวรรค์ส่งข้าฯมาเยือนเพียงชั่วขณะ
.
ณ วินาทีที่ข้าฯมิอาจเห็นสีฟ้าของท้องฟ้า
ข้าฯจักตระหนักรู้ว่า
ถึงเวลาแล้ว
ถึงเวลาออกเดินทางโดยพลัน
สู่หนแห่งที่จากมา

ณ วินาทีนั้น
หยดเลือดสีแดงจักตกต้องพสุธา
อย่าถามเลย

อย่าถามว่าทำไม






2.3.53

ล่องไหลสายธารคำนึง












.....
.

นั่งมองดวงตะวันลับฟ้า ณ รอยต่อแห่งเวลา

หลังฝ่าพ้นความวุ่นวายระหว่างวัน

ขณะเฝ้ารอความอัศจรรย์ระหว่างคืน

ฉันรื้อฟื้นหลายช่วงเวลาคราเจรจากับคนบนภูเขา

.

การสนทนาปราศจากถ้อยคำเสี่ยงต่อความผิดพลาด

หากไม่เคยเป็นเช่นนั้น

เมื่อฉันสนทนากับเขาผู้มากับความเงียบ

*

เวลาเป็นของเราเท่าที่เป็นของคนอื่น

เช่นเดียวกับความสุข มีค่าเท่าที่ผู้ครอบครองสำนึกรู้

*

สุขทุกข์อยู่แค่ปลายนิ้วไขว่คว้า

ปัจจุบัน อนาคต ขึ้นอยู่เพียงการขยับมือ

เช่นการขยับปีกผีเสื้อ ...

ก่อเกิดคลื่นลมบนโลกเล็ก ๆ ของเรา

โลกจึงหมุนไป และ หมุนไป

~

ฉันเห็นโลกเล็ก ๆ ของฉัน ... หมุน

~

.

.

.

.

.